[Go!Graph x JNTO] Gourmet Fukuoka เที่ยวไปกินไป ฟุกุโอกะ
เรากลับมาที่ญี่ปุ่นอีกแล้ววว มาบ่อยจริง แต่เราก็มาอีกได้เรื่อยๆ เพราะมันเที่ยวไม่เบื่อเลย
ครั้งนี้เราไม่พูดมาก เราเน้นเที่ยว และ กิน!! คือเที่ยวไปกินไปนั้นแหละ แผนเราตลอด 6 วัน คือลงที่ฟุกุโอกะ แล้วไปต่อ โอซาก้า จบที่นาโกย่า แล้วทุกเมืองเราจะเดินทางด้วย Nightbus ประหยัดค่าที่พัก และ ค่าเดินทาง ไปเก็บไว้กิน!! แทนนนนน นี้แหละทางของเรา
มาเริ่มที่เมืองแรกเลยดีกว่า
Fukuoka
ฟุกุโอกะ เป็นเมืองใหญ่สุดในภาคคิวชู หรือจะเรียกว่าฮากาตะ ก็ได้ เพราะเหมือนเมื่อก่อนจะแบ่งกันด้วยแม่น้ำนากะกาวะ แม่น้ำสายใหญ่ที่ติด Canal City อ่ะ เลยมีความพูดว่า “ตะวักตกฮากาตะ ตะวันออกฟุกุโอกะ” แถวฮากาตะ คือเขตพ่อค้า ส่วนฟุกุโอกะ คือเขตซามูไร ต่อมาก็รวมกันเลยเป็นฟุกุโอกะ แต่คนญี่ปุ่นหลายคนก็เรียกว่า ฮากาตะอยู่ตามเขตดั้งเดิม
ด้วยที่นี้เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ และตั้งใกล้เกาหลีมาก เมืองนี้จะเห็นคนเกาหลีเยอะมาก สามารถเดินทางไปเกาหลีด้วยเรือได้ด้วยนะ
การเดินทางในฟุกุโอกะ ก็เดินทางสะดวกมากๆ มีรถไฟถึงทุกที่เที่ยวเลย หรือจะนั่งรถบัสก็ได้ ถ้านั่งถูกจะจอดลงหน้าที่เที่ยวเลย
Dazaifu Temma-Gu
- Dazaifu Station
ศาลเจ้า Dazaifu น่าจะเป็นศาลเจ้าที่ดังสุดในฟุกุโอกะแล้วละ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณครึ่งชม. เท่านั้น มาถึงที่นี้ก็ต้องมาให้ได้ นอกจากศาลเจ้าแล้ว ที่นี้ยังเป็นแหล่งรวมของอร่อยด้วย ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าจะเต็มไปด้วยราคามากมาย แค่แวะชิมทีละร้านก็อิ่มแล้ว
มาถึงสถานี วันนี้คนค่อนข้างเยอะมาก ตรงวันหยุดพอดี
ดูคนมาวันนี้ เต็ม แต่ร้านขายของก็คึกคักกัน
นี่ร้านขายพวกถั่ว อร่อย ซื้อเลย มีพวกถั่วรสแปลกๆ เยอะเลย
และขนมที่ต้องมาลองกิน Umegae Mochi ขนมโมจิดอกบ๊วย ที่ถนนสายนี้มาขายเป็นสิบๆร้านเลย ทำกันสดใหม่ๆ จะลองหมดทุกร้านก็จะไม่ไหว แต่ลองกิน 3 ร้าน รสชาติก็ไม่ต่างกันมาก อร่อยเหมือนกันหมด
ชื่อบอกว่าบ๊วย แต่ไม่มีส่วนไหนเลยที่มีบ๊วยผสม เป็นแป้งโมจิไส้ถั่วแดง ต่างหาก แล้วปั๊มเป็นรูปดอกบ๊วย เพราะแถวนี้ดังเรื่องแหล่งชมดอกบ๊วย มีต้นบ๊วยมากถึง 6000 ต้น เกือบ 200 สายพันธุ์เลย
อร่อย ชิ้นตก 100-150 เยน
ที่ถนนมีร้านสตาร์บัคดัง อยู่ด้วย เป็นสตาร์บัคแห่งแรกๆ ที่ออกแบบเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้ที่อื่นเริ่มออกแบบร้านให้เข้ากับสถานที่ตั้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้างในสวยงาม
เราเดินมาต่อจนสุดถนน ก็ถึงศาลเจ้า คนเยอะมากกกก ศาลเจ้า Dazaifu สร้างเพื่อให้ท่าน Michizane Sugawara เป็นข้าราชการระดับสูง ที่ชอบศึกษาหาความรู้ และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับการแต่งกวี หลังจากที่ท่านเสียชีวิต ตามตำนานเขาว่า ขบวนของศพ ที่ใช้วัวลากมา มาหยุดลงที่นี้ และวัวไม่ยอมขยับไปไหน จึงใช้ที่ตรงนี้สร้างศาลเจ้า Dazaifu ขึ้นมาตรงตำแหน่งนี้เลย และยกท่านให้เป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้
เดินข้ามสะพานแดง Taiko Bridge มี 2 สะพานเชื่อมต่อระหว่างเกาะกัน เหมือนสื่อว่าเวลาเราข้ามผ่านจาก อดีต ปัจจุบัน และข้ามไปอนาคต เหมือนปริศนาธรรม แล้วก็เขาบอกว่าบึงนี้เป็นรูปหัวใจนะ ต้องมองไกลๆเลย
อย่าลืมมาลูบวัวหน้าศาลเจ้าด้วยนะ มี 2 ตัว เขาว่าใครลูบจะให้ร่ำรวย ลูบไปซิ เป็นตามตำนานว่า วัวที่หยุดอยู่ตรงนี้ เป็นของพ่อค้าที่ร่ำรวยมาก เพื่อนสนิทของท่าน Michizane Sugawara
ศาลเจ้านี้เป็นนิกายชินโต เป็นนิกายที่เน้นแต่ทำเรื่องสิริมงคลเท่านั้น
ถึงหน้าศาลเจ้า ด้านขวาจะเห็น ต้นบ๊วย Tobi-Ume หรือ บ๊วยบิน ชื่อนี้ เพราะตามตำนวนเขาว่าเป็นบ๊วยจากเกียวโต ที่ท่าน Michizane Sugawara รักมาก แล้วต้นบ๊วยก็รักท่านมากเช่นกัน (บทกวีของท่านที่ดังที่สุดก็เกี่ยวกับบ๊วยเช่นกัน) เลยบินตามแล้วมาโตข้างศาลเจ้าแห่งนี้ ในทุกต้นปี ต้น Tobi-Ume มักจะบานก่อนเสมอแล้วต้นบ๊วยอื่นๆกว่าพันต้นก็จะบานตามอีกด้วย
ส่วนต้นที่อยู่ด้านซ้ายจะเป็นซากุระ ถ้าเดินทางมาช่วงปลายกุมภาฯ ก็จะเห็นทั้ง 2 ต้นบานเต็มพร้อมกันเลย
Toni-Ume กำลังมีดอกตูมแล้ว บานแล้วคงสวยมากๆ
Kyushu National Museum
- 430 เยน ปิดทุกวันจันทร์
ด้านหลังของศาลเจ้าจะมีอุโมงค์ที่จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ พอลอดเขาไปอีกฝั่ง เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู เป็นแหล่งรวมความรู้ประวัติศาสตร์ทุกอย่างของคิวชู
เข้าไปด้านในจะเจอกับ Hakata Gion Yamakasa งานเทศกาลโคมไฟประจำฟุกุโอกะในช่วงฤดูร้อน ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถถ่ายรูปได้ จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต่างๆของภาคคิวชูตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ของโบราณต่างๆ ที่ขุดค้นพบขึ้นมาในคิวชู ใครอยากหาความรู้ ก็เขามาดูได้
กลับมาที่ถนนหน้าศาลเจ้า Dazaifu ที่นี้มีร้านอาหารเยอะแยะไปหมด เราลองเลือกร้านจากไกด์บุ๊คแนะนำเขาว่าเด็ด
Kasanoya
หน้าร้านจะมีคนต่อคิวซื้อ Umgae Moji ยาวๆเลย เขาว่าเป็น 1 ในร้านที่อร่อยที่สุดในย่านนี้เลยด้านในจะเป็นร้านอาหาร
เราสั่งชุด Tobi-Ume เห็นชื่อมาตามนี้ ก็สั่งซิ เป็นข้าวชุดอาหารทะเลเป็นหลัก มีซาซิมิ กุ้ง ของย่าง และข้าวรูปบ๊วย ปลาสดอร่อยมาก ดี
โซบะบ๊วย เส้นโซบะผสมบ๊วย สีชมพูสวยเลย น้ำซุปแบบใสๆ อร่อยใช้ได้เลย
และตบท้ายด้วยของหวาน ขนม Umgae Moji ของร้านนี้ต้องอร่อยแน่ๆ เพราะคนต่อคิวยาวเต็มหน้าร้านเลย กินเข้าไป แป้งโมจิบางๆ ข้างนอกมีความกรอบและไส้ถั่วแดงเต็มเปิดเต็มคำ ทานพร้อมกับมัชชา เข้ากันสุดๆ ร้านนี้ดีงาม แนะนำเลย
Fukuoka Tower
- ค่าเข้า 800 เยน (สำหรับชาวต่างชาติลดอีก 20%)
- Nishijin Station หรือ Tojinmachi Station แล้วเดินเอาประมาณ 20 นาที
- รถบัสจากหน้าสถานี Tenjin ลงหน้าหอคอยฟุกุโอกะ เลย
เป็นหอคอยติดทะเลที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น สูงถึง 234 เมตร แถมตั้งอยู่ในเขตเสี่ยงแผ่นดินไหว หอคอยนี้เลยออกให้ทนแผ่นดินไหวถึง 7 แมกนิจูด เลย แถมทั้งหอคอยจะติดด้วยบานกระจกทั้งหมด 8000 บาน
บรรยากาศเหมือนดูหนังยุคก๊อซซิล่า จะว่าไปหอคอยนี้เคยถูกก๊อซซิล่าทำลายในหนังมาแล้วนะ ฮ่าๆ
เข้าไปซื้อตั๋วเลย ต่างชาติลด 20% โชว์พาสปอร์ตด้วย
ระหว่างขึ้นลิฟท์เห็นกระจกใสๆตลอดทางขึ้น
วิวฝั่งด้านทะเล
แล้วก็จะเห็นเมืองฟุกุโอกะ รอบๆ จะไม่มีตึกสูงเลย เห็นเมืองทั้งหมดแบบ 360 องศา มาช่วงพระอาทิตย์ตกคงสวยมากจริงๆ
มีคล้องกุญแจคู่รักอีกแล้ววว เจอทุกที่
สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.fukuokatower.co.jp/english/
หอคอยตั้งอยู่ติดกับ Momochi Seaside เป็นสถานที่ริมทะเล มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ นั่งชิลๆริมทะเลได้อีกด้วย บรรยากาศดี แต่วันนี้หนาวไปหน่อยนะ 55
Yanagibashi Rengo Fish Market
- Watanabe Dori Station (จริงๆเดินมาได้จากด้านหลัง Hakata Station ประมาณ 2 บล็อค เท่านั้น)
เป็นตลาดปลาเล็กๆ แต่ติดตัวเมือง จริงๆ มีตลาดปลาใหญ่กว่านี้ด้วย แต่อยู่ค่อนข้างไกล เลยแนะนำมาเดินที่นี้จะสะดวกกว่ามาก
ถึงจะเล็ก แต่ที่นี้ก็เต็มไปด้วยร้านค้า ปลาสดๆใหม่ๆ เรามาช่วงสายแล้ว คนเลยไม่เยอะมาก ไม่ต้องรอคิวเข้าร้านอาหาร
ปลาสดๆ วางเต็มและที่นี้จะเห็น ฟุกุ หรือ ปลาปักเป้า วางอยู่ทุกร้านเลย ไม่รู้เพราะมีฟุกุเยอะหรือเปล่า เลยชื่อเมืองฟุกุโอกะ (อันนี้มั่วเองนะ)
แล่ฟุกุกันสดๆ
และอีกอย่างคือ เนื้อวาฬ ที่นี้ยังมีการล่าวาฬอยู่บ้าง ราคาสูงพอสมควรเลย รสชาติคล้ายเนื้อมากกว่าปลา
แบบตากแห้งก็มี
Syokudo and Teishoku
กลางวันแล้ว เรามาหาไรทานกันในตลาด เรามาที่ร้าน Syokudo and Teishoku ร้านอาหารพวกข้าวหนัา เก่าแก่ในย่านนี้ ดูได้จากคนแล่ปลา เก่าแก่ขนาดไหน
สั่งแล้ววว ข้าวหน้าแซลม่อน อิคุระ ให้มาแบบสดๆ แถมหมักเนื้อปลาเรียบร้อย ไม่ต้องราดโชยุเพิ่มก็อร่อยแล้ววว 1200 เยนเท่านั้น
แซลม่อนด้งก็อร่อย 800 เยน
อันนี้ซิเด็ด ข้าวหน้าอุนิ หรือไข่หอยเม่น ราคา 1500 เยนเท่านั้น ปกติกินนี้ 2000 ขึ้นไปเท่านั้น
และครั้งแรกที่ได้ลองฟุกุ หรือ ปลาปักเป้า 1200 เยน เท่านั้น เวลาทานให้เอาเนื้อปลาห่อต้นหอม และจิ้มกับปอนซึ รสชาติ จะนุ่มๆหนึบๆ ถือว่าเป็นรสชาติแปลกใหม่ใช้ได้ อยากลองปักเป้าราคาย่อมเยา มาลองได้ที่นี้เลย
Tenjin Chikagai
คือ แหล่งช๊อปปิ้งใต้ดินนั้นเอง อยู่ช่วงใต้ดินบริเวณ Tenjin เป็นแหล่งช๊อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในฟุกุโอกะ ความยาว 600 เมตร มีร้านหลายร้อยได้ เดินช๊อปกันแบบจนพอใจ
คือตอนแรกเรามาถึงฟุกุโอกะ เราก็เดินอยู่ด้านบน เราก็สงสัยคนฟุกุโอกะหายไปไหนหมด พอเราลงใต้ดินเท่านั้น คนเต็มเลย คือเขามาหลบหนาวใต้ดินกันหมด แล้วใต้ดินนี้ ก็เชื่อมต่อไปสถานนีรถไฟ หรือห้างช๊อปปิ้งอื่นๆ หมด แบบไม่ต้องเดินข้างบนเลย ลงใต้ดินโผล่อีกที่หนึ่งพอ
ใครหาแหล่งช๊อปไม่ต้องไปไหนลงมาที่ใต้ดิน จบ ไปต่อห้างได้อีก ไม่ต้องไปไหนแล้ว
Cafe&Books Biblioteque
- ห้าง Vioro ชั้น B1 Tenjin
กินของคาวมาเยอะ มาต่อที่ของหวานบ้าง ที่ร้าน Cafe&Books Biblioteque อยู่ชั้น B1 ห้าง Vioro
ง่ายๆ ตรงข้ามห้าง Iwataya คนไทยน่ารู้จักแถวนี้ดี
เป็นร้านอาหารสไตล์ Brunch มีทั้งคาวและหวาน แต่ครั้งนี้เราจะมาจัดแต่หวาน ร้านนี้มีคนรอคิวอยู่ตลอดเวลา แต่รอไม่นานนัก
ระหว่างรอคิว ดูเมนู ของดังที่นี้คือ Pancake แบบฟูๆนุ่มๆ
จานแรกมาเลย Whole Apple Pancake Hot Custard Sauce แพนเค้กกับแอปเปิ้ลอบทั้งลูกราดซอสคัวตาร์ด และเสริฟพร้อมไอติมวานิลาด้วยย
อันนี้เหมือนจะเป็นพายแอปเปิ้ล
เริ่มเลยราดซอสคัสตาร์ดด
แล้วก็หั่น นุ่มมากกก
ทานพร้อมแอปเปิ้ลพร้อมไอติม อร่อยมากกก ซอสคัสตาร์ด แตะคาราเมลหอมไหม้นิดๆ แบบแพนเค้กฟูๆนุ่ม อุ่นๆ กับแอปเปิ้ลกรอบๆรสเปรี้ยวหวาน เจอกับไอติมวานิลลาเย็นๆ มันเข้ากันพอดีมาก อร่อยยยย มาลองเลยย
http://www.bibliotheque.ne.jp/fukuoka/
Taiheiraku
- ชั้น 13 ห้าง IMS
ยังไม่จบ มื้อดึก ต้องมื้อหนัก จัดบุฟเฟ่ตเนื้อไปดิ!! 1980 เยนเท่านั้น ทานได้ 90 นาที เป็นร้านเนื้อย่างแบบเกาหลี ร้านขนาดเล็กแต่เปรียบด้วยคุณภาพเต็มๆ
อันนี้เมนูแบบปกติ สั่งเพิ่มได้
นี้เมนูบุฟเฟ่ต์มีเยอะมากกกก แปลไม่ออก ก็กูเกิ้ลทรานสเลด เอานะ เราก็จิ้มมั่วเหมือนกัน 55 ที่แนะนำเลยคือเนื้อ!! เวลาสั่งจะเป็นแท็บเลตให้เรากด เอา จิ้มๆ ว่าเอาไร
สั่งสลัดมาก่อน ทานเนื้อ จะดีมาก ช่วยย่อยได้ดี กันท้องแน่นเกินไปด้วย
แล้วก็เริ่มมาแล้ว เนื้อไรมั้งก็ไม่รู้ ที่นี้จะมาที่ละนิดๆ ประมาณ 3-4 ชิ้นต่อที่ ไม่อยากรอให้ขัดจังหวะเวลากินก็กดไปเลย 4-5 ที่เลย
ใส่ลงไปปปปป
เนื้อค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขนาดพอดีคำ
จัดไป 90 นาทีเต็ม สั่งไม่หยุด ถือว่าคุ้มค่ามากกกกกกกกกก จัดว่าเด็ด มาฟุกุโอกะ มาร้านนี้ได้
Yatai
ใครไม่อิ่ม ตอนกลางคืนมีร้านแผงลอย หรือ Yatai ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของฮากาตะ เลยก็ว่าได้ ร้านจะเป็นช่วงเย็นๆถึงดึก ตามจุดต่างๆ ขายพวกราเม็ง หรือ โอเด้ง เป็นหลัก ทุกร้านจะเต็มไปด้วยคน พนักงานมาสังสรรค์กันเต็มตลอดเวลา มาถึงที่นี้ก็อย่าพลาดล่ะ
จบช่วงดึกเราต้องเดินทางต่อไปโอซาก้า ด้วยรถ Nightbus ที่แถวสถานีฮากาตะ บริเวณสถานี Hakata ช่วงหน้าหนาว จะมีจัดแสดงไฟตลอด แบบอลังการมาก
Shin Shin
เรายังไม่จบเรื่องกินให้สมเป็นทริปกิน รอบสถานีฮากาตะ จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร บริเวณใต้สถานนีก็เช่นกัน มีร้านอาหารเต็มเลย เรามาที่ร้าน Shin Shin เป็นร้านราเม็งสไตล์ฮากาตะ น้ำซุปแบบกระดูกหมูรสเข้มข้น และเส้นบะหมี่เล็กแบบจีน
ชาชูเม็ง พร้อมไข่ต้ม ราเมงร้อนๆซุปเข้มข้นมาก
สั่งเกี๊ยวซ่าแป้งบางกรอบ เพิ่ม ก็อร่อยเช่นกัน
รสชาติร้านนี้ถือว่ากลมกล่อมกว่าร้านฮากาตะราเมงทั่วไป คือเราไม่เข้มจนเกินไปสำหรับคนไทย คนไทยน่าจะชอบรสของร้านนี้แน่นอน อร่อยมาก
ทานราเมงอิ่มท้องแล้วก็มาเดินทางต่อด้วย Nightbus เพื่อไปโอซาก้า สถานีรถบัสอยู่ด้านหลังสถานีฮากาตะ รอรถที่สถานีที่ไม่ธรรมดา Bus Stop Cafe เจ๋งมาก อยากจะแนะนำให้ลองใช้บริการดู
อ่านเพิ่มเติมที่ รีวิว Nightbus ได้
แล้วมาเจอตอนต่อไปของทริปลุยกินกันต่อที่โอซาก้านะ!