Japan North – South : EP5 Hakodate

เรายังอยู่กันต่อที่เมือง Hakodate ค่ะ

ภารกิจของเราคืนนี้คือ ตามหาโรงแรมที่จองกับขึ้นไปชมวิวสุดงามบนยอดเขา

โรงแรมที่เราพักคือ Chisun Grand Hakodate เป็นโรงแรมราคาพอๆกับโฮสเทลเลย

เดินทางก็ใกล้ แถมยังใกล้ Lawson อีก ชอบนักโรงแรมนี้ จองจาก booking.com

ต้องไปจ่ายเงินที่โรงแรม 100% ค่ะ เราพักแบบ 2 ห้อง ผู้หญิงสองคน กะ ผู้ชายอีกหนึ่ง

ค่าที่พักคนละประมาณ 950 บาท/คืน โรงแรมใหม่และสะอาด

ที่สำคัญเนตแรงและมีผ้าเช็ดตัว !!

เดินจากโรงแรมไปนิดเดียวก็ถึงทางขึ้นกระเช้าจุดชมวิวยอดเขาฮาโกดาเตะสุดฮิตค่ะ

(แถมได้ตั๋วลดราคาจากโรงแรมอีก ดีจริงๆ) ค่าขึ้นคนละ 1160 เยน (ลดราคาเหลือ 1050 เยน)

พอได้เข้าไปในกระเช้าทุกคนก็จะจองที่ริมหน้าต่างก่อนเลย

เราไปช้าก็ไปมุงๆกะเขาบ้าง ถ้าใครเคยไป the peak ฮ่องกง คล้ายๆกันค่ะข้างบน

มีร้านอาหาร ร้านขายของ หลายชั้น ดาดฟ้าอีก เรารู้ว่าใครอ่านรีวิวบ่อยๆจะเห็นรูปนี้จนเบื่อแล้วค่ะ

แต่เอาเข้าจริงไปเห็นด้วยตามันไม่เหมือนกันจริงๆ มันใส มันสด มันน่าตื่นเต้นกว่าเยอะ

บนดาดฟ้าก็อากาศหน๊าวหนาว ลมก็แรง ทุกคนอยากถ่ายภาพสวยทั้งนั้น

ถ่ายกันเข้าไป ส่วนเราเพื่อนผู้ชายถ่าย เรากับเพื่อนอีกคนก็เดินเล่น

ดูวิวไปสวยดีเหมือนได้มาตั้งใจดูดีเทลของเมืองทีละจุด

เรารู้ว่ารูปนี้คุณจะไม่เคยเห็นที่พันทิพจากฮาโกดาเตะแน่นอน

ขอภูมิใจเสนอ ชัตเตอร์บีแบบอินดี้จากยอดเขาฮาโกดาเตะค่ะ

หนาวจนลงมาข้างล่าง ตั้งกล้องให้ยามถ่ายให้ เยเย

พอดึกแล้วเราก็พุ่งลงมาจากยอดเขาอย่างเร็ว หาข้าวกินกันต่อคืนนี้

อย่าลืมมากันนะคะ Hakodate Ropeway สนุกดี สวยดี

เราก็เดินผ่าอากาศหนาวไปเรื่อยแถวโรงแรม พนักงานในโรงแรมบอกว่า

ราเมงน้ำซุปปลาหมึกอยู่ใกล้โรงแรม เราเดินไปตามพิกัดที่เขาบอกแล้วนะแต่หาไม่เจอ

สุดท้ายเราจึงจบลงที่ร้านทงคัตสึของคุณป้าคนหนึ่ง ทั้งร้านไม่มีคนเลยมีแต่เรา

ชิวดี นั่งดูทีวีเพลินๆเหมือนอยู่บ้านแล้ว

ตามนั้นค่ะ เมื่ออาหารมา กล้องเลนส์จึงปิด คริ รสชาติคล้ายบ้านเราแต่ก็ไม่ซะทีเดียว จริงๆสุดท้ายต้นตำหรับก็เด็ดกว่าจริง

6 พฤศจิกายน 2555 (อังคาร)

เรายังอยู่ที่เมืองฮาโกดาเตะ พักที่ Chisun Grand Hotel คนละ 950 บาท / คืน มีทุกอย่างให้ครบ

นอน 2 ห้อง เช้าวันนี้เราจะเที่ยวฮาโกดาเตะให้ครบทั้งเมือง จุดเที่ยวใหญ่ๆสำคัญของเมืองนี้ก็มี

1. ตลาดเช้า 2. หอคอย 5 เหลี่ยม 3.ย่านโกดัง 4.โบสถ์แถวเนินเขา

บรรยากาศยามเช้าแถวโรงแรมมาขึ้นรถรางค่ะ เมืองนี้ไร้คนมวากส์

ที่พักเราอยู่สถานี Haraicho ห่างจาก Hakodate Ekimae (สถานีรถไฟฮาโกดาเตะ)

ไปประมาณ 4 ป้ายเท่านั้น ตอนเช้าอากาศหนาวมาก พ่นควันออกจากปากได้ น่าตื่นเต้นนิดหน่อย

นั่งรถรางมาลงป้าย Hakodate Ekimae (Ekimae แปลว่า สถานีรถไฟ)

ใกล้ๆสถานีรถไฟทางด้านซ้ายเป็นตลาดเช้าค่ะ ของกินของสดเยอะมาก

กุ้งหอยปูปลา มีครบ เจริญหูเจริญตานักแล แกล้งเดินดูไปงั้นแต่ในใจนี่คิดไปถึงว่าจะกินอะไรแล้วเช้านี้

ออกมานอกตลาดก็ยังขายของกันอยู่ ปูยักษ์ ร้านอาหารชุด

บรรยากาศตลาดเช้าไม่ค่อยคึกคักนักแต่ก็มีพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่ เราก็เดินดูไปเรื่อย แค่วันนี้อากาศดีก็พอใจแล้ว

อัยย่ะ หน้าก็มีเป็นร้อย เลือกไม่ถูก

เราก็เดินหิวจนเข้ามาถึงโซนร้านอาหารจนได้ มีร้านให้เลือกเป็นสิบ

วิธีเลือกของเราคือ ดูท็อปปิ้งว่าเป็นเนื้อที่เราต้องการมั๊ย และ ราคายังไง

ท็อปปิ้งหลักของเมืองนี้ที่เราต้องการคือ ปลาหมึก และ ปู ค่อยๆเลือกไป บิ้วตัวเองให้หิวเต็มที่

เราก็ตกลงปลงใจกันที่ร้านนึง สั่งอาหารกันมา ได้เวลารับประกิน

ชามข้าวนี้ของ จขกท. เองแหละจ้ะ ปูเป็นปู อิคุระ และแน่นอน ปลาหมึก

อาหารเขาเอามาให้เป็นชุด เพื่อนอีกสองคนสั่งปลาดิบเหมือนกัน เมื่อกินเสร็จหน้าตาก็จะเบิกบานแบบนี้ ฮี่ ฟินละญี่ปุ่น

เดินจากแหล่งกิน ตลาดปลาเมื่อกี้มานิดเดียว ก็ถึงแล้วสถานีรถไฟฮาโกดาเตะ

ถ้ามาต้องมาถ่ายรูปกับสัญลักษณ์สีแดงสักหน่อย เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง

กินอิ่มเราก็นั่งรถรางไปต่อที่โซนป้อมห้าแฉก นั่งรถรางลงสถานี Goryokakukoenmae

แล้วเดินตามหอคอยไปเลย ถ้าเทียบทั้งเมืองให้สถานีรถไฟอยู่ตรงกลาง ทางซ้ายจะเป็นโซนโกดัง

ยอดเขาฮาโกดาเตะและบ้านเรา ส่วนด้านขวาก็เป็นชุมชน ป้อมห้าแฉกและสนามบินจ้ะ

สองข้างทางสวยงาม ใบไม้เริ่มเหลืองแล้ว

ลืมบอกค่ะ เราซื้อตั๋ว one day pass รถราง คนละ 600 เยน เพราะนั่งเที่ยวเดียวก็ 200-250 เยนแล้ว

วันนี้เรานั่งเกือบทั้งวัน ซื้อแล้วคุ้ม ลองคำนวณกันดูค่ะ สามารถซื้อได้จากคนขับรถเลย

เดินถึงหอคอยแล้ว แต่เราไม่ได้ขึ้นไปบนหอคอยนะ แต่นั่งกินไอติมเล่นแถวนั้น

ภายในชั้นหนึ่งหอคอยเป็นเช่นนี้ค่ะ มองลงมาก็จะเห็นเป็นห้าเหลี่ยม หารูปได้ตามโปสการ์ด

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษานอกห้องเรียนมาก
เราสังเกตทุกที่ที่เราไป มักมีเด็กๆมาทัศนศึกษาตลอดตั้งแต่เหนือจรดใต้
เด็กๆคงสนุกได้ออกมาเปิดโลก มันอาจทำให้เราเรียนรู้ได้มากกว่าในห้องเรียนอีกนะ

ป๊อกกี้กำลังแจกของฟรีอยู่เลย แน่นอนเราเด็กเกรียนต้องรีบไปรับของแจกฟรี ได้บอลลูนตีๆแท่งป๊อกกี้มา น่ายินดี

เราออกจากหอคอยเข้าไปในสวนโกะเรียวคาคุ (สวนห้าแฉกนั่นแล)

จากสวนจะสามารถมองเห็นหอคอย(ที่เราไม่ได้ขึ้นแต่เข้าไปมาเมื่อกี้ได้ด้วย) เด่นเป็นสง่า

ส่วนใหญ่จุดขายของสวนนี้มักเป็นช่วงซากุระ เรามาช่วงใบไม้แดงก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

ค่าเข้าสวนนี้ฟรีค่ะ ข้ามสะพานไปชมใบไม้แดงกันเลย

ขอบอกอีกทีว่าญี่ปุ่น ทุกอย่างอินคอนเซ็ป สวนนี้ห้าแฉก ขนาดที่ล้างมือก็ยังห้าแฉก สุดยอดเฉียบ เท่ จบ

ดูสีใบไม้ดิ เด็กจากประเทศเขตร้อนไม่เคยเห็น เวอร์ชันซูม สวยมาก ธรรมชาติไม่เคยสร้างอะไรที่เป็นส่วนเกิน

เราเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดศูนย์กลางของสวน เป็นบ้านญี่ปุ่นหลังหนึ่งเป็น Magistrate’s Office

เสียค่าเข้าชม 500 เยน ตอนแรก จขกท.ไม่อยากเข้า อยากขึ้นหอคอยมากกว่า แต่เพื่อนๆอยากเข้า ก็เลยเข้าไปกัน

ด้านในจะเป็นห้องหับเยอะแยะ มีป้ายบอกกำกับไว้หมด ว่านี่เป็นห้องอะไร ห้องเก็บสมบัติ ห้องประชุม ห้องอะไรก็ว่าไป

มันจะไม่สงบก็เพราะอิแก๊งนี้นี่แหละ หาจังหวะคนน้อย ชั้นขอถ่ายรูปกับทุกสิ่ง

คราวนี้สองเกรียนขอเลื่อนยศมาเป็นโชกุนและขุนนางแล้วนะ

สิ่งที่ทำให้ดูเนี้ยบ เรียบร้อย มันคือความสมมาตรนี่เอง

แล้วเราก็เข้ามาห้องหนึ่งที่มีวิดีโอให้ดู เป็นสารคดีการก่อสร้างที่นี่

ในวิดีโอเล่าว่า ที่นี่เคยถูกไฟไหม้หนักมาก่อนไม่เหลือซอก สำนักโบราณคดีก็ต้องมานั่งแกะรอยเพื่อสร้างใหม่อีกครั้ง

ตั้งแต่กำแพงเป็นแบบไหน แปลนแบบไหน ตราประจำสำนักที่ตอกลงไปบนคานเป็นยังไง ทุกอย่างจริงจังมาก

เมื่อแกะรอยเสร็จก็เริ่มการสร้าง สารคดีฉายให้เราดูตั้งแต่เลือกไม้ > เหลาไม้ > ไสไม้ จนไปถึงเทคนิคแบบญี่ปุ่น

ที่เราเห็นตามทีวีแชมเปี้ยนคือการประกอบล็อคของไม้ ต้องมานั่งคิดว่าจะประกบยังไง ทุกอย่างลงรายละเอียดดีมาก

จากไม้ก็มาถึงกำแพง ที่ใช้ปูนแบบไหนทาสีอะไร ไปจนถึงประตูกระดาษแบบญี่ปุ่นเพื่อกันแผ่นดินไหว

ก็ไปหาช่างทำกระดาษมาทำ กระเบื้องก็ไปหาช่างทำกระเบื้อง ช่างตอก ทุกอาชีพทุกอย่างจนประกอบกันเป็นอาคารหลังนี้

รายละเอียดเยอะมากจนเราซาบซึ้ง จนเรารู้ซึ้งว่า ทุกสถานที่มีคุณค่า ถ้าเราไม่ได้มาดูสารคดีนี้เราคงไม่อินกับแต่ละมุมของไม้

แต่ละมุมของหลังคา ของอาคารนี้เท่านี้มาก่อน สุดยอดมาก บอกได้คำเดียว คุ้มจริงๆ 500 เยน (บัตรนักศึกษาลดได้อีกนะ)

เพราะเหตุนี้แหละทำให้ญี่ปุ่นเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

กระเบื้องทีวางทีละแผ่น ตราสัญลักษณ์บนหลังคา ทุกอย่างล้วนมีที่มา

เราตัดสินใจถูกจริงๆที่เข้าที่นี่ ไม่ใช่หอคอย บางทีการเดินทางแบบโกกราฟอาจเป็นการชื่นชมรายละเอียดทีละน้อยและได้อะไรกลับไป

มากกว่าไปให้ครบทุกจุดแต่ระยะทางไม่มีความหมายอะไรเลย

สวนด้านนอกก็ยังคงสวยงาม อะไรก็เป็นใจ

มองจากมุมบนบ้าง เด่นสง่าท่ามกลางธรรมชาติ ญี่ปุ่นนี่เก่งนักเชียวที่สร้างให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ

เราเดินออกมาจากสวนนิดหน่อยก็เจอะพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แต่รอบนี้ไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปเอาเฉยๆ

เดินตามสองข้างทางไปเรื่อย หลงทางบ้าง หารถรางไม่เจอบ้าง

ก็ถือเป็นอีกมุมที่ไม่มีใครมาเยือน สนุกดีค่ะ ที่นี่ญี่ปุ่น ธรรมชาติเป็นใหญ่ ไม่หวือหวา

ไม่มีจุดเด่นจุดด้อยทุกอย่างเสมอๆกัน จากสีเขียวกลายเป็นสีเหลือง จากสีเหลืองกลายเป็นสีแดง ปนๆกันไป

เราเดินหลงมาเรื่อย เข้าตรอกซอกซอย เห็นตึกรามบ้านช่องญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นแถวนั้น

หลังจากหลงจนพอใจเราก็เริ่มหาทางกลับเข้าเส้นรถราง

เราว่าเราชอบเมืองที่ใช้รถรางมากกว่ารถไฟใต้ดิน เพราะมันได้เห็นบรรยากาศข้างนอก

รถรางดูไม่แออัดดีแถมเห็นเมืองชัด ดูเป็นมิตรกว่าเยอะ

ลงรถรางป้าย jujigai เดินนิดเดียวก็ถึงย่านโกดังแล้ว ลุยย่านนี้ต่อเลย

อิฐแดงกับใบไม้แดงที่เลื้อยบนกำแพง ช่างเข้ากันดีนัก

ย่านโกดังมีสถานที่ให้เดินเยอะมาก เข้าร้านนี้ออกร้านนั้น คล้ายๆโอตารุผสมเอเชียทีค

ให้ฟีลเดียวกัน ไม่ต้องกลัวหลง แล้วสนุกไปกับมัน สวยดี

เดินเข้ามาหลบลมหนาวในร้านค้า ก็มีของกระจุ๊กกระจิ๊กขายเต็มไปหมด ญี่ปุ่นนี่ ญี่ปุ่นจริงๆ

อันนี้เป็นตุ๊กตาไม้เบาๆ เราซื้อมาฝากเพื่อน เป็นของฝากที่ทุกคนอิจฉาตาร้อนกันมาก

น่ารักดี ใครมาอย่าลืมซื้อ ไม่รู้เอาไปใช้ทำอะไร แต่น่ารัก จบ

มาถึงแล้ว เอเชียทีค อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้ว สังเกตหมอกด้านบนเขาสิ

น่าเดินเข้าทุกร้าน เดินมันทั้งวันก็ได้ที่นี่ มีอะไรให้เลือกดูเต็มไปหมด เพลิดเพลินและสนุกสนานจริง

หมอกลงแล้ว ฝนตกหนักขึ้น หนาวก็หนาว ทางก็มองไม่ค่อยเห็น เราแทบไม่เห็นวิวริมทะเลเลย

ได้แต่เดินหาตึกหลบลม จากบรรยากาศดีกลายเป็นฝนตกไปซะได้

หลบลมเข้ามาในร้านค้า มีของให้ตื่นเต้นอีกเพียบ อาหารกระป๋อง แค่ดูแพ็คเกจก็หมดเวลาแล้ว

แกงกะหรี่เนื้อหมี !!??

เดินออกจากตึกนี้ ก็เจอตึกหมี คาดว่าหลังจากนี้ใบไม้คงเต็มกำแพงจนกลายร่างเป็นหมีสมใจ เราเดินขึ้นเขากันต่อเถิด

ฝนตก ลมหนาว กระเป๋าเปียก ถุงเท้าแฉะ ก็ยังเดินต่อไป สู้ตัย

ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เราก็ยังเดินกันต่อ ร่างกายจะไม่ไหวแล้วหนาวเว้ย

บนเขามีโบสถ์เยอะมาก เราหวังว่าจะได้เข้าไปดูสักโบสถ์ จนทนหนาวไม่ไหวเข้าไปโบสถ์หนึ่ง

แล้วเราดันไม่รู้เรื่องเข้าไปในโบสถ์เปิดประตูดู ลืมถอดรองเท้า โดนคนที่เฝ้าด่าเละเป็นภาษาญี่ปุ่น

แล้วเราดันจำคำว่า ขอโทษ ไม่ได้ เลยได้แต่ อาริกาโตะไป แบบงงๆ เค้าด่าเราน่ากลัวมาก จนต้องหนีออกมาจากโบสถ์

แต่ไม่เป็นไร สองข้างทางสวยเว้ย ขอตั้งชื่อภาพ แดงทั้งถนน สวยจริงอะไรจริง

สองข้างทางบนเขาก็มีร้านขายของบ้าง ร้านกาแฟเล็กๆน่ารัก

ทำไมทุกอย่างที่ประเทศนี้มันถึงสวยไปหมด คิดแล้วอิจฉา

อยากกลับมาทำให้ประเทศเราหาเอกลักษณ์ตนเองเจอบ้างแล้วทำให้มันดีๆจังเลย

ร่างกายเราทนหนาวเปียกๆไม่ไหวแล้วจะตาย และเริ่มเย็นได้เวลาออกเดินทางแล้ว

จึงกลับไปโรงแรมไปแบกของเตรียมขึ้นรถไฟไปเมืองต่อไป

จริงๆแล้ว Hakodate ยังเที่ยวได้อีกหลายวันเลย แต่เวลาเราจำกัด ไปค้นกันที่

เรานั่งรถไฟเตรียมลงไปโตเกียวต่อ ต้องขึ้นไปเปลี่ยนขบวนที่ซัปโปโรและนั่งไล่ลงมา

เราจองตู้นอนไปและพรุ่งนี้เช้าเราจะถึงเมือง นิกโก้ และเข้าโตเกียว

โปรดติดตามตอนต่อไปนั่งรถไฟไปต่อกับเรานะฮ้า

*****

วิดีโอการเดินทางของเราค่ะ ทาง Youtube 

สำหรับตอนนี้

5. HAKODATE – NIKKO

Tags Cloud

แชร์เนื้อหา
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest

RELATED STORIES