ปารีส – บงชูร์! เราเปลี่ยนคำทักทายแล้ว ไม่หนี่หาว ไม่โอฮาโยล่ะ ครั้งนี้เรามาไกลถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียว โดยครั้งนี้เราไม่ได้เดินทางแบบมาเอง ไม่ได้แบ็คแพคเกอร์ เราได้รับคำท้าทายสนุกๆ จาก Siam Orchard ให้มาลองเดินทางแบบทัวร์บ้าง ให้มาลองว่าทัวร์มันมีดีอย่างไรแตกต่างจากเดินทางด้วยตัวเองยังไงบ้าง เหมือนโดนท้ามาเลยทีเดียว
พูดถึงตัวทัวร์ก่อนครั้งนี้เราเดินทางเป็นเส้นพิเศษที่ส่วนมากปกติจะพาไปแค่รอบๆปารีส แต่ทัวร์ครั้งนี้พาไปถึง มหาวิหารมงต์แชงต์มิเชล ด้วยซึ่งปกติไม่ค่อยพาไป เพราะมันไกลนั้นเอง แต่ที่เรามาทัวร์นี้เพราะ มหาวิหารมงต์แชงต์มิเชล นี่เลยแหละ หวังไว้ว่ามันจะสวยแบบคำร่ำลือหรือไม่ พร้อมแล้วไป ปารีส กัน
เราเดินทางทั้งหมด 8 วัน 5 คืน ราคาทัวร์อยู่ที่ 68900 บาท ซึ่งราคาถ้าประเมินโดยส่วนตัวแล้วถือว่าถูกมากสำหรับทัวร์ แล้วยังบินการบินไทย นอนโรงแรม 4 ดาวทุกคืนอีก คุ้มค่ามาก แต่จะคุ้มจริงไม่จริง ปกติราคาจะสูงกว่านี้มากหลักแสนเลยทีเดียว เพราะทัวร์ต้องการปรับราคาอีกแบบหนึ่งดู ลดระดับโรงแรมลงเป็น 4 ดาวราคาถึงลงมาที่ระดับได้ เวลาเที่ยวไหน เลือกทัวร์มันต้องดูราคาว่ามันสมควรขนาดไหนกันแน่ ไม่ใช่ถูกเกินอาจโดนหลอกก็เป็นได้ อย่างญี่ปุ่นหมืนเดียวแต่นอนโรงแรม 5 ดาว บินฟูลนี่มันจะเป็นไปได้ไง!! เนอะ งั้นเราไม่ต้องพูดไรล่ะ เราต้องไปลองเดินทางไปดูจริงๆว่าดีจริงไหม
สนใจทัวร์ก็ไปดูได้ที่ http://www.siamorchardgroup.com เนอะ
ก่อนเดินทางไป ปารีส
เตรียมทำวีซ่า ทางบริษัทมีส่งคนมารับพาสปอร์ตไปทำวีซ่าให้เรียบร้อย บริการทุกอย่าง เตรียมเอกสารให้เราครบ แล้วนัดเราวันไปทำวีซ่าเชงเก้นเลย มีความไม่ชินอย่างแรง ปกติต้องทำเองทุกอย่าง นี่มีคนบริการให้ สบายเนอะ จนวันจะไปเราก็หาพาสปอร์ตใหญ่ เราก็เพิ่งนึกออกว่าอยู่กับทัวร์นี่หว่า ฮ่า
Siam Orchard
พูดถึงทัวร์ของ Siam Orchard มีความพิเศษที่เราไม่เคยเจอจากทัวร์อื่นคือ มีการนัดบรีฟที่บริษัทก่อนไป บริษัทเรียกลูกทัวร์มานัดเจอกันก่อน อธิบายทุกอย่างรายละเอียดของทริป มีข้อแนะนำต่างๆในการเดินทาง มีการถามว่าใครติดอะไรตรงไหน สามารถแจ้งทางทัวร์ได้ หรืออยากจะทำอะไรพิเศษระหว่างทริปก็บอกได้ พร้อมแจกของยังชีพ หมอน ปากกา เป๋า เยอะ ถือว่าเป็นข้อดีของที่นี้เลย ชอบแบบทำให้เข้าใจตรงกัน
งั้นเรามาเดินทางกันเหอะ ช่วงที่เราไปเป็นเดือนมิถุนายน ตรงกับฤดูร้อนของฝั่งยุโรปพอดี ร้อนขนาดไหนหรอ บอกเลยว่าแดดเปรี้ยง ร้อนมาก ไม่ต้องหอบเสื้อกันหนาวไปเลยนะ ทิ้งไว้บ้านเลย ก็เป็นครั้งแรกของเราเหมือนกันที่เคยไปยุโรปฤดูร้อน
Day 1
เดินทางด้วยสายการบินไทย ถึง ปารีส Paris ใช้เวลาประมาณ 12 ชม. ออกตอนเที่ยงคืน ถึง 7 โมงเช้าฝรั่งเศสพอดี (เวลาช้ากว่าไทย 5 ชม.) ออกเดินทางได้เลย
ถึง สนามบิน ชาร์ลล์ เดอ โกล
เราขึ้นรถบัสแบบสบายๆ นั่งออกไปเที่ยวนอก ปารีส กันก่อนเลย แล้วทำให้รู้กฎหมายของฝรั่งเศสมีสิทธิพิเศษให้รถที่เป็นป้ายทะเบียนของปารีส คือจะจอดได้เกือบทุกที่ในปารีสเลย ถ้าเป็นรถทะเบียนอื่นต้องจอดรถที่เฉพาะเท่านั้น คนขับรถเราเป็นคนปารีสชีวิตเราเลยสบายแบบจอดรับ-ส่ง หน้าที่เที่ยวตลอด ไม่ต้องเดินไกล
Day 2
พร้อมก็ออกเดินทาง ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม. สู่เมือง Chambord (ชองบอร์ด)
แวะทานอาหารพื้นเมืองที่ร้าน L’Ore’e de Chambord
บรรยากาศแบบฝรั่งเศสยุคกลางจริงๆ
จานแรกสลัดกับ Terrine เนื้อ เป็นอาหารดั้งเดิมของฝรั่งเศส มีเนื้อบด ตับบด ถั่ว เครื่องเทษ แล้วแต่สูตร เทอรีนมีหลายสูตรมาก ที่ร้านนี้ถือว่าอร่อยอยู่
เสต็กอกไก่กับซอสเกรวี่ ตัวไก่เนื้อนุ่ม รสชาติเกือบดี
เครื่องเคียงเป็นผักรวมมีรสออกผักหน่อยๆ ตัดเลี่ยนได้ดี
พายแอปเปิ้ล พร้อมไอติมวานิลลา เราจะเจอไปอีกบ่อยๆเยทีเดียวของหวานอันนี้ ฮ่าๆ
Chateau De Cambord
พระราชวังใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาปราสาททั้งหมด 300 กว่าหลังในบริเวณแม่น้ำลัวร์ ปราสาทแห่งนี้สร้างได้อลังการงานสร้างมาก โดยเชื่อว่าผู้ออกแบบปราสาทแห่งนี้คือ ลีโอนาโด ดาวินซี ได้ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างที่นี้ เจ้าของปราสาทต้องการสร้างปราสาทแห่งนี้ให้อลังการที่สุด แบบว่าทุกคนต้องอิจฉาในเขตแม่น้ำลัวร์คนรวยจะแข่งกันสร้างปราสาท แต่ทุกปราสาทก็แพ้ให้ความอลังของ Chateau De Cambord ความพิเศษของที่นี้คือเป็นศิลปะแบบเรอเนซองส์ หลังคามีหลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้
ด้านหน้าเป็นร้านอาหาร ฝรั่งนิยมออกมานั่งจิบชา กาแฟ รับแดดกันในช่วงหน้าร้อน
รอบๆ ก็จะเป็นสวน
ต้องเห็นด้วยตาตัวเอง Chateau De Cambord ที่นี้สวยมาก
Chateau De Chenonceau
พระราชวังเชอนองโช เป็นพระราชวังที่คนรู้จักมากที่สุด รองก็แค่พระราชวังแวร์ซายส์ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำเชอ ที่นี้มีชื่อเสียงเพราะด้วยความสวยของพระราชวัง และเรื่องราวของเจ้าของปราสาทแต่ละคนนี้มีเรื่องราวเยอะมากมาย เดิมเป็นของเศรษฐีคนหนึ่ง พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ต้องการของคนหลายคนต่อมากษัตริย์ก็ได้ซื้อต่อไป
แล้วในสมัยกษัตริย์อองรีที่ 2 กลับยกให้แก่พระสนมคนโปรดไดแอน ซึ่งทำให้พระมเหสีแคเธอรีนไม่พอใจว่าทำไมเป็นแค่สนมถึงได้ปราสาทแห่งนี้ไป พอพระองค์อองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์แล้ว พระมเหสีแคเธอรีนจึงยึดพระราชวังแห่งนี้ แล้วต่อมาก็เกิดสับเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย และยังอยู่รอดได้จนถึงปัจจุบัน
จริงเรื่องราวมันเข้มข้นกว่านี้มาก จะให้สนุกกว่านี้ก็ต้องมาจากปากไกด์แล้ว เออข้อดีของทัวร์เลยจะมีไกด์คนไทยค่อยอธิบายที่ต่างๆว่ามีประวัติยังไง ทำให้เราอินกับที่เที่ยวนี้มากขึ้นไปอีก ดีๆ
บรรยากาศด้านทางเข้า
รอบๆเป็นร้านอาหารเหมือนเดิม
หอคอยด้านหน้าปราสาทเป็นส่วนที่สร้างขึ้นมาแต่แรก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทุกปราสาทจะมีส่วนของโบสถ์เพื่อทำพิธีด้านใน
ความละเอียดของปราสาท คือจะมีพรมติดตามกำแพงเพื่อเก็บความร้อนในฤดูหนาว เพื่อให้ห้องอุ่นทั้งวัน เพราะงั้นเป็นถึงพระราชวังจึงเป็นพรมธรรมดาไม่ได้ ต้องเป็นพรมปักลวดลายต่างๆ เราจะได้เห็นลายปักที่ละเอียดบรรจงในทุกๆห้องเลย
ในห้องนี้จะเห็นรูปของพระมเหสีแคเธอรีน
ห้องอ่านหนังสือ
บรรยากาศรอบๆปราสาท
พระราชวังนี้สร้างเหนือแม่น้ำเชอเลย เดิมส่วนปราสาทจะมีแค่ด้านหน้า เท่านั้น ต่อสมัยพระสนมไดแอนก็สร้างสะพานเชื่อมไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วพอเดิมพระมเหสีแคเธอรีนยึดได้คืนมาก็สร้างปราสาทเพิ่มเติมบนสะพานเข้าไปอีก และได้แก้ไขสัญลักษณ์ต่างๆ จากตัว D ที่หมายถึง ไดแอน เป็นตัว C แทนหมายถึง แคเทอรีน หลายละเอียดต่างๆจะเต็มไปทั่วปราสาท ถ้าเรามาเองคงไม่รู้ นี้ไกด์บอกมาทั้งนั้น เออข้อดีของมาทัวร์เลย นี้รู้สึกจริงนะ เขาไม่ได้จ้างให้เขียน ฮ่าๆ
ด้านหน้าทางเข้าปราสาทจะมีร้านเครป ซึ่งแนะนำว่าอร่อยแน่ๆมาถึงฝรั่งเศสต้องกินเครปนิ เราไม่รู้สั่งอะไรดี เราสั่งชื่อแปลกๆเลย สั่ง Grand Marrier ไปตอนแรกเข้าใจว่าช็อคโกแล็ค สรุปเป็นเหล้าส้ม ราดทั่วเครปเลยจ้าาาา สรุปหอมๆอร่อยดี เหล้าแต่หัววันเลย
Tours
เมืองตูร์เมืองหลวงของจังหวัด Indre-et-Loire ในแคว้นช็องทร์ เป็นศูนย์กลางการศึกษาตั้งแต่ยุคกลาง ตั้งอยู่บนแม่น้ำลัวร์ สมัยก่อนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน จึงทำให้เป็นเมืองสำคัญมานานตั้งแต่อดีตแล้ว
ตอนนี้ประมาณ 6 โมงเย็นแล้ว ฟ้ายังสว่างจ้าเลย คนฝรั่งเศสก็เริ่มออกมานั่งตามร้านอาหาร จิบกาแฟคุยกันเต็ม
บรรยากาศบ้านเมืองยังคงเห็นสถาปัตยกรรมยุคกลางที่ยังคงให้เห็นอยู่บ้าง
โบสถ์แบบไบแวนไทม์ มาเที่ยวที่นี้เหมือนมาศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์เลยทีเดียว ใครเคยเรียนจะมีความอินนิดๆ
Etoile’Or
มื้อเย็นของเราเป็นอาหารจีน ซึ่งปกติของทัวร์อยู่แล้วที่มักพาไปร้านอาหารเอเชีย เพราะลูกทัวร์สามารถทานได้ทุกคน ไม่เหมือนอาหารยุโรปที่บางคนจะกินไม่ได้ และจะบ่นเบื่อกัน ซึ่งปกติเราไปเองเราก็ไม่เลือกเข้าร้านอาหารเอเชียเหมือนกันนะ เพราะอยากลองอาหารท้องถิ่น แต่ก็พูดตรงๆว่า อาหารเอเชีย อาหารจีน นี่แหละถูกปากเรามากกว่ายุโรปเยอะ ฮา มันคือความจริง
แล้วอาหารจีนที่ฝรั่งเศสก็อร่อยเกือบทุกร้านด้วย แปลกใจมาก อาจเพราะเป็นคนจีนจริงๆมาทำ ทำให้รสชาติคุ้นเคยตามที่เคยกินมาก อร่อยๆ
กุ้งทอดผัดพริก จานนี้อร่อย
ผัดบล็อคโคลี่รสชาติคุ้นเคย
ไก่ทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน
และตบท้ายด้วยอาหารประจำทัวร์ ไข่เจียว แน่นอนว่าไกด์ทัวร์ก็จะพกน้ำพริก ซีอิ๊ว น้ำปลาพริกบริการลูกทัวร์ไว้ด้วย ตามร้านอาหารเอเชียจะไม่มีปัญหาอะไรพวกนี้ แต่ถ้าร้านยุโรปบางร้านเขาห้ามเอาซอสที่อื่นมาวางบนโต๊ะเลยทีเดียว ด้วยอาจเพราะมารยาท และกลิ่นพวกกะปิงี้ อาจทำให้ลูกค้าฝรั่งคนอื่นไม่ชอบได้ ก็เข้าใจกันนะ
สรุปประทับใจอาหารจีนที่ฝรั่งเศส ฮ่า
Mercure Tours Nord
โรงแรมนอกตัวเมืองบรรยากาศสบาย มีอุปกรณ์พื้นฐานครบทุกอย่าง ถือว่าดีเลยทีเดียว และอาหารเช้าอร่อยมาก โดยเฉพาะเบเกอรี่ ต้องกินๆ
Day 3
ออกเดินทางสู่ Mont Saint-Michel วันนี้เราเดินทางนานสุดแล้วประมาณ 3 ชม.จากเมืองตูร์ ด้วยกฎหมายของฝรั่งเศสห้ามให้คนขับรถ ขับรถนานเกิน 7 ชม.ต่อวัน และทุก 2 ชม.ต้องแวะพัก 15 นาที ทำให้การเดินทางในฝรั่งเศสไปไหนเดินทางไม่ไกลมากในทุกที่ เพราะกฎหมายห้ามชัดเจนถ้าเกิน คนขับจะโดนปรับและยึดใบขับขี่ทันที แถมทุกคันจะมีที่เป่าแฮลกอฮอล์ก่อนขับและจะทำบันทึกเข้าระบบ เป็นกฎหมายเหมือนกันตำรวจสามารถเรียกตรวจได้ตลอด ไม่เป่าก็โดนจับ ก็ถือว่าดีมากช่วยลดอุบัติเหตุไปเยอะ.. ไทยก็ควรทำได้มั้งแล้วนะ.. ฮ่าๆ
ประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะเห็น Mont Saint-Michel แต่ไกล ไกลมาก เด่นมาก แบบจะถึงแล้วๆ
ที่นี้ลานจอดรถจะอยู่ห่างจากตัว Mont Saint-Michel หลายกิโลอยู่จะมีบริการรถบัสฟรี หรือรถม้าให้บริการอยู่แต่เสียตังค์นะ
Mont Saint-Michel
หนึ่งในสื่งมหัศจรรย์ของโลกตะวันตก และมรดกโลก UNESCO ตามตำนานเล่าว่าเทวทูตเซนต์ไมเคิล หรือ มิคาเอิล ได้เข้าฝันบิชอปถึง 3 ครั้งว่าให้สร้างโบสถ์บนเกาะปากแม่น้ำ ตอนแรกบิชอปก็ไม่เชื่อ จนครั้งที่ 3 ฝันว่าเทวทูตเซนต์ไมเคิล เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผาก พอตื่นขึ้นมาก็มีรอยแดงบนหน้าผากเหมือนโดนนิ้วจิ้มเลย บิชอปเลยเชื่อจริงแล้วว่า เทวทูตเซนต์ไมเคิล ต้องการให้สร้างโบสถ์ขึ้นมาจริงๆ
จึงได้เริ่มก่อสร้างโบสถ์ขึ้นมา ในสมัยแรกๆ ยังไม่อลังการขนาดนี้ เป็นโบสถ์เล็กๆ ต่อมาก็สร้างต่อเติมขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วยแต่ละยุคความนิยมของศิลปะก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอต่อเติมก็ใช้ศิลปะอีกแบบหนึ่ง เลยทำให้ที่นี้มีศิลปะ สถาปัตยกรรม หลากหลายมาก โกธิค ไบแซนไธม์ เรเนอซองส์ มีหมด แบบว่าเห็นเขาฮิตอะไรก็เติมแบบนั้นเข้าไป ฮ่าๆ เออดี จนกลายเป็น Mont Saint-Michel แบบในปัจจุบัน อลังการงานสร้างมาก
รถบัสจะจอดตรงสะพานก่อนถึงตัวเกาะนิดหน่อย ถ่ายรูปได้งามๆ
วันนี้น้ำลด เดินออกมาด้านนอกได้เลย
เข้าไปด้านใน ส่วนด้านล่างจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า มีมาเป็นร้อยปีแล้ว ตอนแรกก็ไม่มีร้านอะไร แต่พอคนมาสักการะที่วิหารเยอะขึ้น ร้านอาหาร และโรงแรมก็มีเพิ่มเพื่อรองรับคนเดินทางมาที่แห่งนี้
บรรยากาสคึกคัก คนแน่น ระวังกระเป๋าให้ดีๆนะทุกคน โจรฝรั่งเศสมันไว
La Mere Poulard
มื้อกลางวัน เรามาทานไข่เจียวที่เขาว่าแพงที่สุดในโลก ไข่เจียวปูลาร์ด ไม่มีส่วนของปู แค่ชื่อเมือง Poulard เฉยๆ แต่เรียกออมเล็ต เถอะ เรียกไข่เจียวนี่ดูถูกลงไปเยอะ ฮ่าๆ
ออมเล็ตที่นี้ดังมาก เพราะด้วยความนุ่มฟู หอมนุ่ม และในสมัยก่อน ไข่ไก่ถือว่าเป็นของที่หรูหรามาก คนที่ได้ทานจึงมีแต่คนรวยเท่านั้น จนในปัจจุบันทุกคนสามารถทานได้ เป็นอาหารที่ต้องมาทานถ้ามาถึงที่นี้แล้ว ราคาแพงมากจริง ตั้งเกือบ 10 ยูโรแหน่ะ แต่ก็ต้องลองทานดูเพราะถึงที่นี้แล้ว
ตอนแรกก็จะให้เรานั่งกลางแดด ร้านจัดให้เลยที่ดีที่สุดเห็นวิวด้านนอก ฮ่าๆ พวกนี้ไม่เข้าใจชาวเอเชียเลย เราไม่นั่งกลางแดดร้อนๆหรอก ไม่เหมือนฝรั่ง สรุปเราขยับเข้ามาในร่มดีกว่า
เสริมสลัด พร้มอขนมปัง สลัดอร่อยมาก มีความแปลกตรงชิ้นแดงๆ ที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร บีทรูทก็ไม่ใช่
มาแล้วไข่เจียวปูลาร์ด ทานไปมันฟูนุ่มมาก เหมือนซูเฟล จริงวิธีทำก็เหมือนซูเฟลนั้นแหละ กลิ่นหอมเนย รสนุ่ม ทานคู่กับฟราย ถือว่าอร่อยดี รสอาจจะอ่อนไปหน่อยสำหรับเรา มาถึงแล้วก็ลองทานดู ต้นกำเนิดเลย
ตบท้ายด้วยพายแอปเปิ้ลเหมือนเดิม บอกแล้วเราต้องเจอกับมันอีกเรื่อยๆ
บรรยากาศจากด้านบน มองออกไปด้านนอก เห็นเดินรอบๆเต็มเลย
จากตัวเมืองเห็นยอดวิหารไกลๆ
จากตัวเมืองเดินขึ้นบันได้ถึงวิหารประมาณ 100 เมตร
บอกยอดวิหาร เห็นรูปหล่อเซนต์ไมเคิลสีทอง
เห็นวิวทะเล ถ้าออกทะเลไปไม่ไกลมาก ก็จะเจอกับเกาะอังกฤษ
ด้านในโบสถ์แบบไบเซนไทม์ เป็งโถงกว้างๆ
รูปนูนต่ำเทวทูตไมเคิลเอานิ้วจิ้มไปบนหน้าผากบิชอปบอกให้สร้างโบสถ์บนเกาะ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความขลัง
เดินวนออกมาด้านนอก
รอบวิหารเป็นกำแพงเดินได้รอบ เพราะเมื่อก่อนที่นี้ก็ใช้เป็นป้อมปราการเหมือนกันในสมัยสงคราม
เราลองเดินออกด้านนอกบ้าง เดินวนไปรอบๆ ไกลเหมือนกัน พื้นเป็นโคลนเละๆนะ จะเดินมาทำใจเลย
แล้วก็จะเจอวิวสะท้อนน้ำสุดอลังการ!! คือที่นี้เป็นที่เที่ยวทำให้เรารู้สึกอลังการของจริง มันยิ่งใหญ่ และสวยมาก มาถึงฝรั่งเศสแล้วควรมาให้ถึงนะ
เห็นบางคนเดินไปไกลมาก ไม่รู้เดินไปไหนกัน
ถึงเวลากลับแล้ว มีโอกาสหน้าจะมาค้างที่นี้ให้ได้
Rouen
เป็นอีกเมืองใหญ่ก่อนถึงปารีส มีมหาวิหารแห่งเมืองรูออง เป็นวิหารที่สูงที่สุดในฝรั่งเศสสูงถึง 151 เมตร วิหารแห่งนี้มีการแกะสลักอย่างจิจิตรงดงามไม่แพ้วิหารนอร์ทเธอดามที่ปารีสเลย สามารถมองได้นานๆ ค่อยๆชม ประทับใจกับวิหารแห่งนี้มาก
ค่อยๆให้ดูแต่ละมุมจะเห็นว่างานละเอียดมากๆ ตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้วยังสว่างจ้า
ด้านในก็อลังการไม่แพ้กัน คือใช้คำว่าอลังการได้ไม่เปลื้องเลย เพราะเหมาะกับใช้คำนี้จริงๆ สวยงามมาก
Brasserie Paul Cafe
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเรามาทานอาหารร้านอาหารแถวหน้ามหาวิหารร้าน Brasserie Paul Cafe
บรรยากาศสบายๆ ให้ฟิลฝรั่งเศสยุคฟื้นฟู
จานแรกพายชีสกรูแยส พายกรอบๆข้างในเป็นชีสกลิ่นหอมรสอร่อย
จานหลักเป็นอกไก่ราดซอสเกรวี่กับมันฝรั่ง จานนี้ตัวไก่อร่อย แต่ซอสจืดไปหน่อย ไกด์เลยจัดน้ำจิ้มจิ้มแจ่วให้ เอออร่อยเลย ปกติมาเองก็ไม่พกอะไรพวกนี้หรอก บางทีทัวร์เขาก็รู้ดีว่าลูกทัวร์ต้องการอะไร ฮ่าๆ
ทานเสร็จแล้วมาเดินเล่นรอบๆตัวเมืองกัน
สถานที่เที่ยวชื่อดังอีกอย่างคือ โบสถ์ Jon of Arc วีรสตรีแห่งฝรั่งเศส โบสถ์แห่งนี้สร้างเพื่อสดุดีแด่ Jon of Arc โบสถ์มีความพิเศษสร้างเป็นรูปทรงหมวกนักรบนั้นเอง
รอบๆก็เป็นเมืองบรรยากาศเหมือนฝรั่งเศสยุคกลางเหมือนเดิม คนเต็มทุกร้าน
Mercure Rouen Centre Cathedrale
เป็นโรงแรมที่เราอยากแนะนำว่าพักที่นี้เหอะ ถ้ามาเมืองนี้ด้วยความสะดวก ทำเลที่ตั้งใกล้กับโบสถ์เลย และใกล้แหล่งท่องเที่ยว ย่านร้านอาหาร ทำให้เดินไปไหนไม่ต้องไปไกลเลย เดินสบายๆ และอาหารเช้าก็อร่อยเหมือนเดิม ที่นี้มีชีสให้เลือกทานเยอะเลย
Day 4
Paris – ปารีส
เราเดินทางสู่ เมืองหลวงของฝรั่งเศส ปารีสนั้นเอง เมืองนี้ก็รู้ๆแล้วว่าเป็นเมืองที่ทุกคนทั่วโลก ว่าเป็นเมืองสุดโรแมนติก บรรยากาศดี ช่วงที่เราไปก็ดีมาก อากาศโปร่งจนไม่เห็นกลางคืนเลยทีเดียว ช่วงฤดูร้อนฟ้าจะมืดประมาณ 4 ทุ่ม เราเลยไม่ได้รอถ่ายรูปตอนกลางคืนเลยเพราะรอไม่ไหวจริงๆ ขอพักเถอะ ทริปนี้เราเลยจะได้เห็นแต่รูปกลางวันนะ ฮ่าๆ
Arc de triomphe de l’Étoile
อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอ เลตวล หรือประตูชัย หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส ได้ถูกมอบหมายให้สร้างในปี พ.ศ. 2349 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ล เดอ โกล (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “จัตุรัสแห่งดวงดาว” (Place de l’Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของถนน ช็องเซลีเซ (Champs-Elysees) ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
Place de la Concorde
จตุรัสคองคอร์ด ออกแบบโดย Le Notre สถาปนิกผู้ริเริ่มสร้างเมืองแวร์ซายส์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ชวนให้ระลึกถึงการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเพราะตำแหน่งที่ตั้งของโอเบลิสคือตำแหน่งที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดนกิโยตินประหารนั้นเอง
เสาโอเบริสที่ได้จากอียิปต์เป็นของดั้งเดิมสร้างในสมัยฟาโรห์ Ramses ที่ 2 เดิมตั้งอยู่หน้าวิหาร Luxor ในปี 1829 อียิปต์ได้มอบให้แก่ฝรั่งเศส และเสาแบบเดียวกันให้กับอเมริกา และ อังกฤษ ด้วย ถือว่าเป็นเสาโอเบริสที่สมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลย
มองผ่านสวนตุยเลอลีย์จะมองเห็นยอดหอไอเฟล สัญลักษณ์ปารีส
Tour Eiffel
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition Universelle de Paris de 1889) เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าของ ปารีส ทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรม
ตอนแรกก็ถูกคนฝรั่งเศสคัดค้านว่าทำไมเอาหอคอยเหล็กมาตั้งกรุง ปารีส แบบนี้ กลางเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะมากมาย
แต่พอสร้างเสร็จ หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟลและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส จบปัจจุบันี นักท่องเที่ยวกว่า 200,000,000 คนได้เข้ามาชมตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลสูง 324 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
วันนี้เราไม่ได้แค่ขึ้นหอไอเฟลธรรมดา ประสบการณ์พี่เศษที่สุดคือได้ทานอาหารบนหอไอเฟล ซึ่ง siam orchard เป็นคนจัดการให้เพราะปกติถ้าจองเองต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว และเราไม่เคยรู้ด้วยถ้ามาเอง ถ้ามาทานอาหารบนหอไอเฟล จะได้พาสพิเศษแบบว่าแซงคิวแถวขึ้นหอที่ยาวเป็นกิโลได้เลย จะมีช่องพิเศษเข้าไปเลย สบายจริงๆ
ระหว่างขึ้นก็จะเห็นบรรยากาศรอบตัวหอไอเฟล
มองเห็นไกลตัวเมืองไกลออกไปเลย
แวะโฆษณาแปป มาที่นี้เราใช้พก Tripizee Pocket Wifi มาด้วย สัญญาณดีมีให้ใช้ได้ตลอด แต่เราชอบสุดคือแบตมันทน ใช้ได้ทั้งวันเปิดทิ้งไว้ได้เลย ไม่ต้องกลัวแบทหมด ดีจริงนะ
ระหว่างรอรอบทานอาหาร ร้านอาหารบนหอไอเฟล มีอยู่ 3 ร้านมั้ง มีร้านอาหาร 58 Tour Eiffel ที่เราจะทาน แล้วก็ร้านอาหารแบบฟู๊ดครอสเล็กๆ และร้านที่หรูกว่านั้นอีก คือร้าน Le Jules Verne ร้านอาหารระดับมินชาลินสตาร์ แน่นอนเราไม่ได้ทาน ฮ่าๆ ไว้มาหาคู่มาทานดินเนอร์สุดหรูกัน 2 คนดีกว่านะ
58 Tour Eiffel
ห้องอาหาร 58 Tour Eiffel ชื่อนี้เพราะอยู่บนความสูงที่ 58 เมตรพอดี อาหารจะเสิร์ฟแบบเป็นคอร์ส แล้วแต่เราจะเลือกอาหาร เราทานแบบ 3 คอร์ส
Starter เป็น Duck Pete ทานพร้อมกับสลัดกระหล่ำปลี แอปเปิ้ล ในชุดจะมีไวน์เสริมให้ด้วยทุกโต๊ะ สำหรับท่านที่ไม่ทานไวน์สามารถสั่ง Soft Drink แทนได้
จานหลักเป็นเสต็กแซลม่อน ทานคู่กับสลัดมันฝรั่งและซอสฟองมะนาว หอมๆ แซลมอนสดมาก เป็นสเต็กแซลม่อนที่คุณภาพดีมากเลย อร่อยมากสำหรับจานนี้
ตบท้ายด้วยของหวานเป็นช๊อกโกแลคไอเฟล เป็นของหวานขึ้นชื่อของที่นี้ เป็นช็อคโกแล็คมูสนุ่มประกบด้วยช๊อคโกแล็คกรอบๆ อร่อยมาก
ขาลงเราสามารถเดินลงได้ด้วยเพื่ออยากชมบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง หรือจะลงลิฟต์เหมือนเดิมก็ได้
โครงสร้างของหอไอเฟล ถ้าค่อยๆดูก็ไม่ต่างจากศิลปะที่ดีอันหนึ่งเลย
ลงมาด้านล่าง ฟ้าใสมาก มาฤดูร้อนถึงจะได้ฟ้าอากาศแบบนี้ซินะ
Bateaux Mouches , Seine River
ล่องเรือแม่น้ำแซน รอบกรุงปารีส แม่น้ำแซนถือว่าเป็นแม่น้ำสายหลักในกรุงปารีสจะพาสถานที่สำคัญๆ หมดเลย หรือจะเรียกว่าแม่น้ำแห่งชาติเลยก็ว่าได้เพราะเป็นแม่น้ำที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาเป็นพันปีตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว ล่องแม่น้ำแซนเหมาะมาช่วงเย็น ถึง ดึก เพราะแสงจะสวยมาก แต่เรามาช่วงฤดูร้อนนี่ขนาดมาเย็นแล้ว แดดยังจ้าาา เลยจ้าาา ก็เห็นบรรยากาศฟ้าใสสวยไปอีกแบบ
แนะนำว่ามาด้านบนเลย งาม แต่ถ้าร้อนก็ไปแอบในห้องแอร์ชั้นล่างได้
ช่วงฤดูร้อนก็เห็นคนฝรั่งเศสนั่งชิวๆ อาบแดดกันเต็ม
ชีวิตชิวดีเนอะ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ก็วนกลับมาที่ท่าเรือ
ก่อนจะกลับที่ท่าเรือ ก็วนไปชมหอไอเฟล ไฮไลท์ของปารีส บรรยากาศดีมาก
BIEN BIEN
มื้อเย็นวันนี้เป็นร้านอาหารไทย Bien Bien ที่ทำโดยคนไทยที่อยู่ฝรั่งเศสบอกเลยว่าร้านนี้มีชื่อเสียงมายาวนาน แน่นอนว่าทัวร์ไทยต้องพามาร้านนี้แน่นอน ยิ่งวันหลังๆแล้ว ลูกทัวร์อยากอาหารไทยเต็มที่ เราบอกเลยว่าร้านนี้อร่อยจริงๆ เราเคยกินอาหารไทยหลายที่ในยุโรป หลายที่ต้องประยุกต์ทำให้รสชาติไม่ค่อยอร่อยนัก แต่ร้านนี้พอกินแล้วเหมือนอยู่ที่ไทยเลยทีเดียว
ต้มยำกุ้งรสชาติเปรี้ยวแซ่บถึงใจ
จานนี้ทีเด็ดเลยแกงเผ็ดหน่อไม้ไก่ ปกติที่ไทยนี้หากินอร่อยยากมาก แต่ร้านนี้กลับอร่อยแบบตกใจ รสพริกแกงอร่อยมากๆ
ไข่พะโล้กลายเป็นเมนูพื้นฐานที่ต้องมีไปแล้ว
กระเพรา ที่ใช้ใบกระเพราจริงๆ หายากมากในยุโรป
และสุดท้ายน้ำพริกกะปิ ที่ใช้ปลาแมคคาเรลแทนปลาทู รสชาติไม่ต่างกันมาก อร่อย ถึงจะไม่ได้มากับทัวร์ ถ้าได้มาปารีสแล้วอยากทานอาหารไทย เราแนะนำร้านนี้เลย อร่อยจริง
Day 5
La Vallee Village Outlet
Outlet อยู่นอกชานเมืองปารีส มีแบรนด์ดังๆของปารีสครบทุกแบรนด์มาที่นี้รับรองว่าต้องได้อะไรติดมือกลับบ้านแน่ๆ แถมมากับทัวร์แล้วยังได้บัตรลดพิเศษเพิ่มอีกนิดหนึ่งด้วย 5-10% แล้วแต่ร้าน อย่าง Longchamp รุ่นธรรมดาเหลือใบแค่พันกว่าบาทเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีแบรนด์ Burberry , Calvin Klein, Celine, Furla , Gucci เอาเป็นกว่ามีมากกว่า 100 แบรนด์เลยทีเดียว
เลยส่วน Outlet ไปจะเป็นห้างที่ใหญ่มากกกก ตอนแรกคิดว่าเล็กๆ แต่เดินไปยิ่งไกลๆ ที่นี้มีพวกแบรนด์กีฬา รองเท้า เกือบทุกแบรนด์เลยด้วย ร้านอาหารก็จะอยู่ในนี้เยอะ
Hotel De Ville
ที่นี้ชื่อบอกว่าโรงแรม แต่ไม่ใช่เป็นชื่ออาคารของศาลาว่าการกรุงปารีส ตึกนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานมาก ผ่านเหตุการณ์สำคัญหลายช่วงของฝรั่งเศสเลยทีเดียว สร้างมาแล้วมากกว่า 500 ปี โดยอาคารนี้มักใช้เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลมาตลอด ช่วงปฏิวัติก็ได้โดนทำลายไปบ้างส่วน แล้วต่อมาก็บูรณะกลับมาใช้เป็นศาลาว่าการกรุงปารีสจนถึงทุกวันนี้
อาคารนี้เป็นหนึ่งในอาคารที่สวยที่สุดในปารีสเลยทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยรูปปั้น ภาพนูนต่ำประดับทั่วตัวอาคารยิ่งมาในตอนกลางคืนแล้ว ทั้งอาคารจะประดับไฟอย่างสวยงาม
NOTRE DAME CATHEDRAL
มหาวิหารน็อทร์-ดาม อีกหนึ่งสัญลักษณ์สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมานานเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบโบสถ์สำคัญๆทั่วโลกอีกด้วย ใช้เวลากว่า 200 ปี อยู่กับกรุงปารีสมาจะ 1000 ปีแล้ว ในการก่อสร้างได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยสถาปนิกคนสำคัญของฝรั่งเศส คือ เออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก เป็นมหาวิหารแรกที่สร้างสไตล์กอธิก ถือว่าเป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก
ปัจจุบันยังใช้เป็นศาสนสถานนิกายคอทอลิกที่สำคัญของฝรั่งเศส เพราะเคยเป็นศูนย์กลางของเมืองในยุคกลาง มาจนถึงปัจจุบัน ภายในวิหารมีรูปปั้นและภาพจิตรกรรมที่สวยงามเกี่ยวกับพระแม่มารี และต้องขึ้นบันไดมากถึง 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์ ทั้งยังมีงานกระจกสีโบราณทีถ้าดูไปในช่องกระจกแต่ละบานจะเห็นรายละเอียดเรื่องราวต่างๆอีกด้วย
แต่เราไม่ได้เข้าข้างในเพราะคนเยอะมากจริงๆ ต่อคิวกันหลายชั่วโมงแน่ๆ
ดูความละเอียดของสถาปัตยกรรม มิน่าสร้างกว่า 200 ปีเลย
Basilica of The Sacre of Couer
เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นักบุญ Saint Denis ที่ถูกประหารเพราะต้องการยืนยันความเชื่อของศาสนาคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 3 โดยมีเรื่องเล่าว่าตอนท่านโดนประหารโดยการตัดศีรษะแล้ว แต่ท่านกลับยังไม่เสียชีวิตทันที ท่านได้ลุกขึ้นและหยิบศีรษะของท่านเดินไปอีกหลายไมล์ เราจะเห็นรูปปั้นของท่านที่ประตูของมหาวิหารนอร์ทเธอดาร์ม ที่จะเป็นนักบุญที่ศรีษะขาด ถือศรีษะไว้นั้นเอง ย้อนขึ้นไปดูนะมีรูปอยู่
ภายในประดับด้วยกระจกสี งดงามมากๆ
ไฮไลท์ของโบสถ์แห่งนี้คือรูปพระเยซู ที่ไม่ใช่การวาด แต่ทำด้วยวิธีโมเสค คือค่อยติดๆกระเบี้ยงทีละแผ่นเล็กๆ จนเป็นรูปพระเยซูขึ้นมา งามและยิ่งใหญ่จริงๆ ถือว่าเป็นโบสถ์ที่สวยมากแห่งหนึ่งเลยที่เคยได้เข้ามา
ปกติรอบโบสถ์จะเต็มไปด้วยบ้านคน แต่ในสมัยนโปเลียนของก็ได้สั่งให้ย้ายออกไป เพื่อให้บริเวณเนินเขาที่เรียกว่า Montmartre ดูโล่งมองเห็นวิวเมือง
แต่ก็เป็นเรื่องตลกอีกว่ารอบโบสถ์แห่งนี้เป็นแหล่งบันเทิงชื่อดังมากๆ อย่าง Moulin Rouge ก็ตั้งอ
ยู่บริเวณนี้เพราะสมัยก่อนเขตนี้เป็นเขตนอกกรุงปารีสเลยไม่ต้องเสียภาษี เลยเริ่มมีการทำไวน์ในบริเวณนี้ จนกลายเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงในเขตนี้ไป
Louvre Pyramid
มาถึงปารีสแล้วก็ต้องแวะพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะต้องใช้เวลาทั้งวัน งั้นจะไม่ได้ไปที่อื่นเลย ทัวร์เลยจะจัดพาไปที่อื่นกันต่อ เราก็เดินไปรอบๆ ถ่ายรูปกับปิรามิดที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน Leoh Ming Pei ก็เหมือนกับหอไอเฟลเลย คนปารีสก็ว่ามาสร้างปิรามิดได้ไงกลางพิพิธภัณฑ์ลูฟท์เลยเนี่ยนะ สุดท้ายก็กลางเป็นที่ทุกคนมาปารีสแล้วต้องถ่ายรูแกันอยู่ดี ฮ่าๆ
น่ามาถ่ายรูปตอนกลางคืนมาก สวยงาม แต่ฤดู 4-5 ทุ่มจ้า ไม่ไหวยอม
Café Saint honoré
มื้อนี้เราจะได้มาลองอาหารชื่อดังของฝรั่งเศสอีกอย่างคือหอยเอลคาร์โก้! ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ลูฟร์
อุปกรณ์ที่คีบหอย พร้อมที่แคะจากทองแดงดูหรูหราทันที บ้านเราคงไม้จิ้มฟัน ฮ่าๆ
เสิร์ฟแล้วหอยเอสคาร์โก้ จะบอกว่ามันคือหอยทากคล้ายๆบ้านเรานี่แหละ แต่ไม่รู้พันธุ์เดียวกันเปล่า ฮ่าๆ เป็นหอยอบกับเนย สมุนไพร พอทานไปสรุปว่าอร่อยมาก รสกลมกล่อมหอมเนยและเครื่องเทศทานคู่กับขนมปัง นี่มันขนมปังเนยหอยลายดีๆนี่เอง อร่อย ชอบจานนี้มาก
จานหลักเป็นเสต็กแฮมหมูจานใหญ่ เนื้อแน่นนุ่มดี
จบด้วยของหวานครีมบรูเล่ คัสตาร์ดด้านในละมุนมากกกกกก เจอกลิ่นน้ำตาลไหม้อ่อนๆด้านบนนี่อย่างฟิน
Crowne Plaza Neuilly
โรงแรมที่พักอยู่นอกออกไปจากใจกลางเมือง แต่คุณภาพนี่สมกับ 4 ดาวค่อนไปเกือบ 5 ดาว เลยทีเดียว เป็นโรงแรมที่เราว่าดีที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ โดยมาตรฐานจอง Crowne Palza อยู่แล้วล่ะ
บริเวณรอบไม่มีพวกซุปเปอร์ทางโรงแรมเลยมีบริการขายน้ำอยู่ที่ล๊อบบี้
ห้องแบบมาตรฐานถือว่าดีเลย
มีชา กาแฟ และน้ำบริการตามปกติ สรุปเป็นโรงแรมที่ภาพรวมโอเคมาก สมราคา 4 ดาวเลย
Day 6
Chateau de Versailles
พระราชวังแวร์ซาย เป็นหนึ่งในพระราชวังที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกแน่ๆ เพราะพระราชวังแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่ารวมที่สุดของความหรูหราในสมัยในนั้น กษัตร์ย์ทุกพระองค์ทั่วยุโรปใฝ่ฝันต้องการมีวังแบบแวร์ซายเนี่ยแหละ
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ยังทรงพระเยาว์ ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายน่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง คือทุกอย่างใช้ของที่แพงที่สุดเท่าที่จะหาได้เลยทีเดียว
การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายแห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ประชาชนจึงมาพอใจอย่างมาก เลยก่อการปฏิวัติขึ้นมา จึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยติน ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2332 และนำของเครื่องใช้ออกมาขายด้านหน้าลานของพระราชวัง เขาว่าใช้เวลาเป็นสัปดาห์เลยที่เดียวกว่าทยอยขายเฟอร์นิเจอร์ต่างๆหมด จนปัจจุบันในพระราชวังยังเหลือเฟอร์นิเจอร์อยู่ บ้างตัวก็ขอซื้อคืนกลับมาที่เดิม
เข้ามาด้านในคิวต่อแถวยาวมาก ยาวสุดๆไปเลย แต่เรามากับทัวร์เขาจองตั๋วกรุ๊ปไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องต่อคิวเลย เนี่ยแหละข้อดีที่สุดของทัวร์มาเอง คงต่อคิวแบบหลายชั่วโมง
ประตูทองแห่งพระราชวังแวร์ซาย
เรานัดกับไกด์คนไทยอีกคน ที่ค่อยเล่าเรื่องราวในพระราชวังแห่งนี้ พร้อมส่งหูฟังมาให้คนละอัน ดีเนอะ
เมื่อเข้ามาในวังถ้าจะดูความอลังการอย่างแรงให้มองขึ้นไปบนเพดาน พระราชวังแวร์ซายแต่ละห้องมีการวาดจิตรกรรมบนเพดานอย่างเว่อร์วังอลังการมาก เว่อร์แล้วต้องมีวัง มาต่อก็วังมันเป็นแบบนี้แหละะ ดูกว่าจะเสร็จแต่ละห้องต้องใช้จิตรกรไปกี่คน
ห้องที่ดังที่สุดของพระราชวังแวร์ซายคือห้องกระจก เป็นห้องที่กษัตริย์ทุกคนต้องอิจฉา เพราะกระจกเงาในสมัยก่อนแพงมาก ทำยากมาก แต่ที่ห้องนี้มีกระจกเงาบานใหญ่ถึง 17 บานเลยทีเดียว แปลว่าต้องใช้งบมหาศาลมากกับห้องนี้ที่ ปารีส
ห้องนี้มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์คือเป็นที่จดสนธิสัญญาแวร์ซาย ลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนามเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
และอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทยด้วย คือ คณะทูตนำโดย เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส ในสมัยของพระนารายณ์มหาราช ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ ห้องกระจกแห่งนี้นั้นเอง
Mandarin Royal
มื้อกลางวันเป็นอาหารจีนในเมืองแวร์ซาย เป็นอาหารจีนแบบฮ่องกง รสชาติอร่อยใช้ได้เลย โดยเฉพาะไก่ย่าง ทานง่ายและอร่อย
ในร้านยังกับฉากหนังฮ่องกง
ไก่ย่างทีเด็ดของร้าน
เป็ดอบซอส จานนี้ก็อร่อย หนังกรอบๆ
ปลาน่ึงก็รสชาติดี น้ำซีอิ๊วอร่อยมาก
ผัดผักเห็ดหอมน้ำมันหอย อร่อย
ตบท้ายด้วยซุป สรุปร้านนี้ก็อร่อยมาก ถูกใจคนไทยแน่นอน
กลับมาที่ปารีส วันสุดท้ายแล้ว ต้องช๊อปปิ้งซินะ!
Gallery Lafayette
ห้างดังที่ขาช๊อปทุกคนต้องมาเยือน ที่นี้ไม่ใช่ Dutyfree แต่ที่นี้ขึ้นชื่อว่ามีของทุกแบรนด์ และเป็นของรุ่นใหม่ พร้อมบริการ Tax Redund ที่เอาเงินคืนได้เลย ณ ที่ห้าง ทำให้คนเยอะมากกกกกกก โดยเฉพาะคนจีนซื้อยังกะแจกฟรี กระเป๋าใบเป็นหมื่นเป็นแสนเลยนะนั้น เห็นคนจีนทุกคนหิ้วถุงละแบรนด์เลย คนจีนรวยจนน่ากลัว จริงๆ ฮ่าๆ จนมีตึกใหม่เพื่อบริการชาวเอเชียโดยเฉพาะ มีบริการครบทุกอย่าง มีพนักงานคนจีน และคนไทยด้วย สามารถถามรายละเอียดได้ทั้งหมด ดีมาก
ภายในห้างตึกแรก สวยงามมาก เราแนะนำเลยสำหรับคนมาซื้อ Longchamp ให้ขึ้นมาชั้น 3 ไม่ก็ 4 มั้ง มีของเหมือนชั้น 1 เลย แต่ไม่ต้องต่อคิวหรือเบียดกันซื้อเลย เดินเลือกสบายๆ ของเหมือนกัน
ความน่าสนใจอีกอย่างคือ ขึ้นมาด้านบนหลังคาได้ เพื่อชมวิวเมืองปารีส มองเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลๆ ด้านบนมีร้านคาเฟ่บริการอยู่ 2 ร้าน
ตำแหน่งทำ Tax Refund มีพนักงานคนไทยค่อยบริการอยู่ สอบถามได้เลย
Paris Louvre Duty Free
เป็นร้าน Duty Free ที่คนไทยชอบมากันอยู่บนถนนโอเปร่าฝั่งตรงข้ามประตูเข้าลูฟร์ ที่เด็ดๆเลยคือ พวกกระเป๋า กับ น้ำหอม แนะนำว่าซื้อที่นี้จะถูกกว่าที่อื่นนิดหนึ่ง แต่ของจะตกรุ่นนิดหนึ่งนะ
Palais Garnier
โรงโอเปร่าแห่งปารีส เป็นโรงโอเปร่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโรงแห่งหนึ่ง ด้านในตกแต่งได้อย่างเวอร์วังอลังการเหมือนเดิม โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งได้อย่างงดงาม เป็นสถานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในปารีส มีเวลาว่างจากการแวะช๊อปปิ้ง เข้ามาได้นะ
อันนี้อยู่นอกโปรแกรมทัวร์เราเดินมาเข้าเองนะ
ด้านในสวยมากกกก อาคารใหญ่มาก แต่ประดับตกแต่งเต็มที่
ในส่วนของห้องเวทีใหญ่จะไม่เปิดให้ชมด้านในได้ แต่จะให้เข้าชมผ่านหน้าต่างเล็กๆเท่านั้น
มีเด็กๆมาทัศนศึกษาที่นี้ด้วย แต่งชุดบัลเล่ต์กันน่ารักมากมาย
ส่วนของร้านค้าก็น่ารักมาก เป็นชุดบัลเล่ต์ เพลงการแสดงต่างๆ
New Hong Kong
แล้วเราก็มาถึงร้านอาหารมื้อสุดท้ายของทริปนี้แล้ว ร้านนี้คนเยอะมาก น่าจะเป็นร้านที่ทุกทัวร์ตรงมาลง เพราะเห็นคนไทยที่มากับทัวร์เต็มไปหมดเลย ฮ่าๆ แน่นนอนว่าอาหารอร่อย ทุกอย่างดีถูกปาก จบไปอีกมื้อ แล้วก็เดินทางกลับที่พัก เห็นสว่างๆ ในรูปนี้ 1 ทุ่มกว่าแล้วนะ ฮ่าๆ
Day 7
เดินทางไป สนามบิน ชาร์ล เดอ โกล เพื่อทางกลับกรุงเทพ เวลา 13.40 ภายในสนามบินยังมีของให้ช๊อปปิ้งอีกมากมาย ใครยังพอใจช๊อปต่อได้อีก โดย Longchamp คนมักจะมาฝากซื้อทีหลังทุกที ที่นี้ก็มีขายนะ อย่าทำ Tax Refund ด้วยล่ะสำหรับคนที่ขอเงินคืนที่นี้
Day 8
กลับจาก ปารีส ถึงสนามสุวรรณภูมิโดยสวัดิภาพ สรุปง่ายๆ มากับทัวร์ก็ดีไปแบบหนึ่งนะ
เราเลยอยากสรุปคราวๆเกี่ยวกับการเดินทางแบบทัวร์ ที่เราไม่ได้ไปมานานแล้ว
ข้อดี
- มีคนวางแผนจัดการให้ เอกสารทุกอย่างมีคนเตรียมให้ เหมาะมากสำหรับคนไม่มีเวลาวางแผนเอง
- ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ คือจ่ายค่าทัวร์แล้วจบไปจนกลับแล้วไม่มีเพิ่มอะไรอีก ยกเว้นพวกค่าน้ำ ค่าช๊อปปิ้งแล้วแต่คน
- มีไกด์ให้คำแนะนำเสมอ ว่าที่นี้มีอะไรดี ชี้จุดสำคัญๆ หรือเทคนิคให้ของราคาพิเศษ
- ได้ความรู้จากไกด์ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆ ใช้มันได้มากกว่าเราไปเองมากมายเลย เพราะมีคนอธิบายถึงประวัติศาสตร์ของที่นี้ ทำให้เราอินกับที่เที่ยวมากขึ้น
- การเดินทางสะดวกสบายมาก บางสถานที่เดินทางเองค่อนข้างยาก เช่น Mont Saint-Michel เนี่ยแหละ ลูกทัวร์หลายคนที่มาเคยมาปารีสด้วยตัวเองแล้ว แต่เลือกซื้อทัวร์เพราะ Mont Saint- Michel นี่แหละ
- การเดินทางสามารถควบคุมเวลาได้เพราะทัวร์เขาแบ่งเวลาให้เราเรียบร้อยแล้ว
- เรื่องอาหารการกิน มีเตรียมให้พร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องเสียเวลาหา แถมมีพวกน้ำพริก น้ำจิ้ม ให้ลูกทัวร์แก้เบื่ออีก
ข้อเสีย
- ความอิสระค่อนข้างน้อย แบบว่าเราอยากอยู่ที่ไหนนานๆ จะอยู่ไม่ได้เพราะต้องไปอีกที่หนึ่งแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแผนได้ เพราะต้องไปตามทัวร์กับคนอื่นๆอีก แต่..เนื่องจากเราได้ร่วมวางแผนก่อนเดินทาง เราเลยจะได้ไปในทุกๆที่ที่เราอยากไป
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าเดินทางเอง แน่นอนเรื่องปกติ เพราะเราแลกกับความสะดวกสบายมากขึ้นนั้นเอง และมั่นใจได้ว่าไม่มีค่าจุกจิกงอกมาระหว่างทางเหมือนไปเอง บางครั้งไปเองอาจจะแพงกว่าไปกับทัวร์เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้ล่ะ
- อาหารส่วนมากเป็นอาหารเอเชีย บางคนอยากจะลองอาหารแบบท้องถิ่นมากกว่าอาหารเอเชีย แต่ด้วยมาเป็นหมู่คณะมีหลายคน ถ้าทัวร์เลยต้องจัดอาหารให้ทุกคนสามารถทานได้ อาหารยุโรปอาจมีบางคนที่ทานไม่ได้
- ผู้ร่วมทางที่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร นิสัยอย่างไง โชคดีที่ไปครั้งนี้มีแต่ลูกทัวร์น่ารัก แต่..siam orchard ให้เรามาวางแผนร่วมกันก่อนเลยได้เจอลูกทัวร์คนอื่นๆก่อนไป โชคดีที่ ทุกคนสบายๆกันหมด ไม่เรื่องมาก ตรงเวลากันทุกคน เลยทำให้เป็นทริปที่สนุก
สรุปอีกรอบ การไป ปารีส แบบทัวร์ก็เป็นการเดินทางที่ดีแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับคนไม่มีเวลาวางแผน หรือมีเวลาจำกัดมากๆ หรือห่วงเรื่องภาษา เราแนะนำให้บริการทัวร์ เพราะเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้เดินทางเองทั้งหมดแล้ว เพราะบางสถานที่ยังจำเป็นต้องใช้บริการอยู่
ขอบคุณ Siam Orachard ที่เชิญมาร่วมกับทริปนี้ด้วย
สนใจทัวร์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siamorchardgroup.com
และตอนนี้ทาง www.danielwellington.com/th มีโปรโมทชั่นพิเศษมาบอก ตั้งแต่วันนี้ ใช้ promotion code “graph17” นี้ยังได้รับส่วนลด15% ค่าส่งฟรีด้วย แคมเปญโปรดี ๆ แบบนี้ต้องรีบนะ สั่งซื้อก่อน ได้ให้ของขวัญก่อนใคร ๆ codeนี้ใช้ได้ถึง 2017-10-30