[Go!Graph x NokScoot] Unseen จีน ! เที่ยว Qingdao ครบทุกย่าน บรรยากาศยุโรป
หนีห่าว! สวัสดีจากจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากที่เราได้เคยแนะนำการเตรียมตัวไปประเทศจีนมาบ้างแล้ว ครั้งนี้ โกกราฟเลยขอมาลุยเมืองชิงเต่า!! (Qingdao, Shandong district) โดยเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ถ้าเอาให้เข้าใจง่ายๆก็จะอยู่ระหว่าง เมืองปักกิ่ง กับ เซี่ยงไฮ้ แต่มีภูมิประเทศคล้ายแหลมยื่นออกไปในทะเล จึงทำให้มีลมค่อนข้างแรงและอากาศเย็นตลอดทั้งปี ส่วนชื่อเมือง คำว่า Qing แปลว่า เขียวหรือชะอุ่ม และ Dao แปลว่า เกาะ ความหมายโดยรวมจึงแปลว่า “เกาะสีเขียว”
Qingdao
ชิงเต่าเป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งพัฒนามาประมาณ 100 ปี โดยแต่ก่อนเป็นเมืองท่าสำคัญ แต่ถูกยึดครองโดยประเทศเยอรมันจนถึงปี ค.ศ.1914 จีนจึงทำการยึดคืนมาได้ จึงทำให้เมืองในโซนเมืองเก่ามีสถาปัตยกรรมแบบเยอรมัน และทำให้บรรยากาศของเมืองมีลักษณะคล้ายยุโรป เลยมีอีกชื่อว่าเป็น ยุโรปตะวันออก โดยเราจะแบ่งที่เที่ยวออกเป็นโซนต่างๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย และง่ายขึ้นสำหรับการเดินทาง
ZONE 01 : เดินชมวิวริมทะเล นั่งพักร้านเก๋ๆ ชิมและซื้อของไปเรื่อยตามถนนสายวัฒนธรรม
Zhan-qiao Bridge
สะพานจ้านเฉียว สร้างมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิกวงสู่ ราชวงศ์ชิง (ราวๆปี ค.ศ.1819) โดยสร้างยื่นออกไปในทะเลยาว 440 เมตร กว้าง 8 เมตร ปลายสุดเป็นอาคารคล้ายเจดีย์ชื่อ Huilan Pavillion สามารถเข้าไปชมด้านในได้แต่มีค่าเข้าชมเล็กน้อยและก็ต้องต่อคิวสู้กับพี่ๆจีนเค้าหน่อย หรือจะเดินชมบรรยากาศโดยรอบที่มองเห็นวิวเมืองและท่าเรือได้เป็นอย่างดี
นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งพักผ่อนของคนในท้องถิ่น โดยตอนช่วงที่ไปถึงน้ำทะเลกำลังลงทำให้มีพื้นที่หาดกว้าง ทั้งหาดทรายที่เป็นพื้นที่สังสรรค์ นั่งพักผ่อนรับลมทะเล หรือพื้นที่โขดหินที่มีการเอาอุปกรณ์ขุด เจาะ งัดแงะ มาหาของทะเลกลับบ้าน มีตั้งแต่หอย ปู จนไปถึงปลาดาว
St.Micheal / St.Emil Church
โบสถ์เซนต์ไมเคิล เป็นโบสถ์คาธอลิกที่ตั้งอยู่บนเนิน โดยมีร้านค้า ร้านกาแฟน่ารักๆระหว่างทางที่เดินมาจากสะพานจ้านเฉียว จุดเด็ดคือการถ่ายรูปขึ้นไปตามเนินแล้วปลายตาเป็นตัวอาคารจะสามารถเก็บบรรยากาศได้ทั้งหมด
อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดๆถึงความฮิตของที่นี่คือเป็นแหล่งรวมคู่รักชาวจีนที่มาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกันเต็มลานหน้าโบสถ์ เรานี่ก็นับดูแล้วได้เกือบ 20 คู่พร้อมๆกันเลย
Anna Villa
ถ้าเดินมาอีกหน่อยจะขอแนะนำ Anna Villa ห้องสมุดที่ปรับปรุงจากอาคารเก่าที่เคยเป็นสถานทูตมาก่อน (ถ้าเดินมาจากทางด้านหน้าโบสถ์ก็ให้เดินเลี้ยวขวามาจะอยู่บริเวณหัวมุมของถนนเลย) ด้านในน่ารักและอบอุ่นมาก มีร้านกาแฟให้บริการรวมอยู่ด้วย โดยสามารถเลือกอ่านหนังสือพร้อมกับจิบกาแฟไปได้เลย และที่ชั้น 3 จะเป็นส่วนของร้านอาหารที่มีห้องส่วนตัวเป็นห้องใต้หลังคา ถ้าอยากมาลองก็ต้องจองเข้ามากันก่อนนะ
“Pi Chai Yuan” – Culture & Food Street
ถนนพีฉายหยวน ก็สามารถเดินต่อมาจากบริเวณโบสถ์ได้เลย เป็นถนนเส้นไม่ใหญ่มากแต่มีซอกซอยและร้านค้าให้เราเข้าไปลิ้มลองหรือจะเปิบพิสดารก็ได้ ตัวถนนมีเส้นหลักๆ 1 เส้น ส่วนใหญ่ก็จะขายอาหารทะเลที่ทำสดๆตรงนั้น ทั้งปลาหมึกยักษ์เสียบไม้ย่าง บาร์บีคิวหมาล่าแบบจีน เต้าหู้เหม็น
เราได้ลองความแปลกก็คือ ปลาดาวย่าง!!! ตกราคาตัวละประมาณ 50 บาทนับๆแล้วก็ขาละ 10 บาท วิธีกินที่เจ้าของร้านบอกก็คือหักออกมาเป็นแต่ละขาแล้วก็ให้แบะขาตรงรอยแยกออก ข้างในจะมีเนื้อสีครีมๆเป็นเนื้อเม็ดๆสากๆหน่อย แต่กินได้อยู่นะ รสชาติคือทะเลมาก เค็มๆมันๆเหมือนพวกไข่ปลาไข่หอย ใครสนใจก็ไปลอง กับสามารถซื้อของฝากได้ที่เลยก็ได้ ราคาไม่แรง
ZONE 02 : ที่ทำการเยอรมันในอดีต เดินเล่นร้านกาแฟฮิปวัยรุ่น แล้วชมเมืองมุมสูงยามพระอาทิตย์ตกดิน
Qingdao Ying Bin Guan Museum / The Guesthouse / Site Museum of the Former German Governor’s Residence
- วัน-เวลาทำการ : 8.30-17.30 น. / อัตราค่าเข้าชม : 15 CNY
พิพิธภัณฑ์ที่เดิมเป็นที่ทำการเก่าประเทศเยอรมัน ความโดดเด่นคืออาคารด้านหน้าจะมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบเยอรมันที่ดูค่อนข้างทึบตันมีสีเหลืองอ่อนเป็นเอกลักษณ์ สร้างตั้งแต่ปีค.ศ.1905 โดยสถาปนิกชาวเยอรมัน ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมแต่ห้ามถ่ายภาพด้านในอาคารเราเลยมาอธิบายให้เห็นภาพ แต่ละห้องจะตกแต่งต่างกันหมดเลย ข้างในเปิดให้ชม 2 ชั้น บันไดหลักจะอยู่กลางอาคารเป็นบันไดทรงโค้งที่ทำจากไม้ และมีระเบียงเกือบรอบพื้นที่หน้าห้องชั้น 2 อาคารแบ่งออกเป็นห้องต่างๆเป็นจำนวนมาก ความน่าสนใจที่ถ้าเข้าไปชม
พลาดไม่ได้คือ กระจกที่ทำจากคริสตัล บานหลักจะตั้งอยู่บริเวณโถงบันไดชั้น 1 ความพิเศษของมันก็คือ ไม่ว่าเราจะยืนอยู่ในระยะไหนก็จะเห็นภาพสะท้อนจากกระจกเต็มตัว (ชิดบานกระจกยังเห็นเป็นคนเต็มตัวได้เลย) ใครแวะไปก็อย่าลืมไปยืนส่องกันได้ และยังมีห้องที่เคยใช้เป็นห้องพักของประธานาธิบดี เหมา เจ๋อ ตุง แล้วก็ด้านหลังอาคารมีโถงที่หลังคาเป็นเรือนกระจก ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถดึงเพื่อเปิดออกได้ทั้งหมด
“Daxue Road”, Ocean University of China
ต้าเสวี่ย ถนนสายแรกที่ชาวเยอรมันนีตัดขึ้น เป็นถนนที่ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออกโดยเราสามารถเดินไปเรื่อยๆได้สบายๆ ด้วยความที่อยู่ใกล้บริเวณมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ของจีน ตลอดสองข้างทางก็เลยมีร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านค้าน่ารักๆและมุมถ่ายรูปเต็มไปหมด เรียกได้ว่า ถ้าเมื่อยก็จะแวะนั่งมันทุกร้านเนี่ยแหละ
“Xiao Yu Shan” Park – The Little Fish Hill Park
- วัน-เวลาทำการ : 8.30-17.30 น. / อัตราค่าเข้าชม : 15 CNY
สวนสาธารณะและจุดชมวิวบนภูเขาที่อยู่กลางเมือง มีค่าเข้าราคาไม่แพงแค่ 15 หยวน ส่วนมากก็มีคนท้องถิ่นอากงอาม่ามาเดินออกกำลังกายยามเย็นกัน ด้านบนมีหอเจดีย์แบบจีนทรงแปดเหลี่ยมสูง 3 ชั้น สามารถเดินขึ้นไปชมวิวตัวเมืองที่จะเห็นอาคารรูปแบบตะวันตกและเวิ้งโค้งของชายหาดด้านล่างทั้งหมด
โดยสวนแห่งนี้สามารถเดินขึ้นมาจากบริเวณย่านถนนต้าเสวี่ย ประมาณ 15 นาทีถือเป็นการออกกำลังกายเรียกเหงื่อยามอากาศหนาว
ZONE 3 : สายชิลล์ เดินชมธรรมชาติ รับลมทะเล จุดถ่ายรูปสวยแน่นอน!!
MAY FOURTH Square / จตุรัส 54 (五四广场)
เส้นทางเลียบริมทะเลอีกเส้นที่จัดพื้นที่ทางเดินสำหรับออกกำลังกายและปั่นจักรยาน โดยมีสัญลักษณ์แห่งใหม่ของเมืองชิงเต่าเป็น ประติมากรรมรูปทรงเรขาคณิตคล้ายลมพายุสีแดงโดดเด่นอยู่กึ่งกลางถนนที่มองเห็นมาแต่ไกล
ที่มาของอนุสาวรีย์นี้แสดงถึงการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเพื่อเรียกร้องการเป็นอิสระจากการที่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเยอรมนีในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 โดยเหมาะแก่การมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและพักผ่อนยามแดดร่มลมตก และที่อยู่ไม่ไกลและสามารถเดินไปได้ก็คือ ศูนย์กีฬาเรือใบโอลิมปิก ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันกีฬาเรือใบในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 29 ปีค.ศ.2008
“Ba Da Guan” (八大关) Scenic Area
ถนน 8 สายเส้นทางโรแมนติค โดยชื่อถนนแต่ละสายในบริเวณตั้งชื่อตามเส้นทางของกำแพงเมืองจีน ประกอบไปด้วย Jiayuguan, Juyongguan, Wushengguan, Ningwuguan, Shanhaiguan, Shaoguan, Zhengyangguan และ Zijingguan เป็นย่านที่มีถนนเส้นเล็กๆหลายเส้นตัดกันบนเนินเขา และมีบ้านสไตล์ยุโรปกว่า 200 หลังประกอบกับทิวต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้กลายเป็นสถานที่ฮิตของเหล่าบรรดาคู่รักที่มักจะพากันมาถ่ายรูปแต่งงานอีกเช่นเคย
เดินเล่นไปถ่ายรูปไปเพลินๆก็จะเลยไปถึงริมชายทะเลอีกเส้นที่ค่อนข้างเงียบสงบและมีทางเดินบนสะพานไม้เลียบชายหาด ถือว่ามาย่านนี้ที่เดียวได้ทั้งบรรยากาศเนินเขาและชายทะเล (ช่วงที่เหมาะที่สุดที่ต้นแปะก๊วยจะเหลืองอร่ามทั้งต้นประมาณปลายเดือนต.ค. จนถึงต้นเดือนพ.ย.)
ZhongShan Park (中山公园)
สวนจงซานเป็นสวนขนาดใหญ่มีพื้นที่กว้างขวางเปิดบริการทั้งวัน จุดเด่นของสวนคือ ถนนซากุระความยาว 500 เมตรที่จะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ในช่วงที่เราไปที่เป็นฤดูใบไม้ร่วงก็มีการจัดไม้ดอกไม้ประดับและมีผู้คนมาใช้งานเป็นจำนวนมากเช่นกัน ถือว่าเป็นแหล่งพักผ่อนและปอดของชาวเมือง และเป็นช่วงที่ครอบครัวจะมาใช้เวลาร่วมกัน เด็กเล็กๆ อากงอาม่าเดินเต็มสวนกันไปหมด มองไปทางไหนก็เลยจะเห็นแต่รอยยิ้มและความสุข แค่เราได้เข้าไปเดินเล่นในสวนนี้ ก็กลับออกมาพร้อมพลังแห่งความสุขเต็มเปี่ยม
Zone 4 : อุทยานแห่งชาติเหลาซาน , พิพิธภัณฑ์-โรงงานเบียร์ชิงเต่า ถนนคนเดินชอปปิ้ง (การเดินทางแยกกัน)
Laoshan Taiqing Palace
- วัน-เวลาทำการ : 6.00-18.00 (Apr-Oct), 7.00-17.00 (Nov-Mar) อัตราค่าเข้าชม : 20 CNY
วัดไทชิง วัดดั้งเดิมของลัทธิเต๋า ที่ตั้งหันหน้าออกสู่ทะเลและด้านหลังเป็นขุนเขาของอุทยานแห่งชาติเหลาซานก่อตั้งมาประมาณ 2,000 ปี (สมัยราชวงศ์ซ่ง) จะเห็นความเก่าแก่ได้จากขนาดของต้นสนด้านในที่โตมากับตัววัดที่เป็นอาคารโบราณทางศาสนาหลายอาคารเรียงลำดับการเข้าถึงโดยมีลานเป็นตัวคั่นกลางตามรูปแบบสถาปัตยกรรมของจีน ที่นี่อาจจะเป็นที่เที่ยวที่เดินทางไปยากหน่อยเพราะห่างจากตัวเมืองประมาณเกือบ 2 ชม. อาจจะซื้อเป็น One-day tour พร้อมกับทัวร์ภูเขาเหลาซาน
ส่วนในสุดที่ติดภูเขาก็จะเป็นบันไดหลายร้อยขั้นที่มีรูปปั้นนักบวชสูงใหญ่และมีห้องจัดแสดงพระพุทธรูปและเทพเจ้าด้านบน ถ้าอยากชมวิวสวยหน่อยเห็นทะเล ก็แนะนำให้ค่อยๆเดินขึ้นไปเลยไม่เหนื่อยมากอากาศกำลังดีเย็นสบาย
Tsingtao Beer Museum
- วัน-เวลาทำการ : 8.30-16.30 อัตราค่าเข้าชม : 60 CNY up to 130 CNY
ถ้าพูดถึงเมืองชิงเต่าแล้วไม่ได้ลองเบียร์ Tsingtao ก็อาจจะถือว่ามาไม่ถึงเมืองนี้ ด้วยความที่เป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากเยอรมันซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดด้านเบียร์อยู่แล้ว จึงทำให้เมืองชิงเต่ากลายเป็นแหล่งผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมคำว่าชิงเต่าของชื่อเมือง
ในปัจจุบันกับชื่อยี่ห้อเบียร์ถึงเขียนไม่เหมือนกัน เราได้คำตอบมาว่า โรงงานเบียร์ Tsingtao ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1903 แต่ระบบการสะกดภาษาพินอินของจีนที่ใช้ Q แต่อักษร ช. เพิ่งจะเกิดขึ้นมาประมาณไม่กี่สิบปีจึงมีการเขียนที่แตกต่างกัน แต่การอ่านออกเสียงเหมือนกัน เราจึงเห็นชื่อร้านค้าในเมืองมีการเขียนผสมผสานทั้ง 2 แบบแล้วแต่ความต้องการ
เกริ่นเรื่องจริงจังไปแล้ว เข้าไปเที่ยวในตัวพิพิธภัณฑ์และโรงงานกันดีกว่า
ที่นี่มีค่าเข้าชมหลายราคาแล้วแต่เราจะเลือกเลย ถูกสุดเริ่มที่ค่าเข้าชมและเบียร์สดฟรี 1 แก้วจะราคาประมาณ 60 หยวน ส่วนที่แพงที่สุดก็ประมาณ 130 หยวน จะได้แพคเกจทั้งไกด์พาเดินชมและอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ (ใส่หูฟัง Wireless) เบียร์สด การถ่ายรูปติดลงขวดเบียร์กลับบ้านเป็นที่ระลึกและบุฟเฟต์เบียร์ 1 ชม.!!!
ซึ่งขอเตือนไว้ว่าด้วยความใหญ่ของสถานที่จึงควรไปถึงก่อนเวลา 15.00 น.เพื่อจะได้อรรถรสในการดื่มบุฟเฟต์เบียร์แบบไม่ต้องรีบเร่งเพราะแค่เดินชมโรงงานและพิพิธภัณฑ์ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.เป็นอย่างน้อยข้างในก็จะเริ่มให้เราเดินเข้าในส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์ก่อน จัดแสดงตั้งแต่ประวัติความเป็นมา หน้าตาขวดเบียร์ตั้งแต่สมัยยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ตลาดที่จัดจำหน่ายไปทั่วโลก และวิธีการผลิตเบียร์ และก็จะคั่นด้วยการให้เราได้ลองชิมเบียร์สดคนละแก้ว ซึ่งจะมีขายเฉพาะที่นี่และถ้าใครสนใจซื้อกลับบ้านก็มีเช่นกันแต่อายุจะอยู่ได้แค่ 2 วัน โดยส่วนตัวเราว่าเบียร์สดอร่อยเลยนะ รสชาติต่างกับเบียร์ที่ขายอยู่ข้างนอก เพราะฟองเบียร์นุ่ม รสก็ละมุนและไม่ซ่า
จากนั้นเราก็จะเดินข้ามอาคารมาในส่วนของพื้นที่จัดแสดงโรงงานผลิตเบียร์จริงๆที่ให้เรามองลอดผ่านแนวกระจกใส่ลงไป แล้วจบด้วยร้านขายของที่ระลึก แต่ก็มีมุมเล็กๆที่จำลองให้ดูว่าเวลาเมาดิบเป็นอย่างไร เป็นห้องซึ่งต้องลองเข้าไปดูกันเองนะ รับรองว่าสนุกดี ส่วนสุดท้ายของอาคารก็จะเป็นร้านอาหารและบาร์ที่ถ้าใครอยากนั่งดื่มและเพลิดเพลินกับบรรยากาศก็อยู่ได้ทั้งคืน ส่วนถ้าใครพอใจแล้วอยากออกไปหาแสงสีด้านนอก บริเวณถนนหน้าโรงงานตอนกลางคืนก็จะเป็น Beer Street ที่มีร้านอาหารและบาร์อยู่สองข้างทางให้เลือก
Taidong San Lu Pedestrian Street
จากถนนสายเบียร์ ถ้าใครคันไม้คันมืออยากชอปปิ้ง ก็เดินมาที่ถนนไท่ตงที่อยู่ไม่ไกลจากตัวโรงงาน เป็นถนนคนเดินกลางคืนชื่อดังที่ค่อนข้างกว้างและเดินสบายมากๆ สองข้างทางก็จะมีห้างที่มีทั้งสินค้าแบรนด์เนมและร้านค้าย่อยภายใน อารมณ์ประมาณ Platinum หรือ Union Mall ที่กรุงเทพฯ ราคาก็ไม่แรงมากสามารถเลือกซื้อได้ตามใจชอบ แต่ถ้าใครหิว ก็ยังมีร้านอาหาร ร้านชานมไข่มุกที่อยู่ในเส้นนี้
ของที่น่าลองชิมคือ พุทราเคลือบน้ำตาล ราคาก็ประมาณ 30 บาทได้มาเลยทั้งไม้ รสชาติกำลังดี หวานอมเปรี้ยว
ภาพรวมการเดินทาง
ความเป็นอยู่ ผู้คน บ้านเมือง :
เราว่าด้วยอิทธิพลของชาวตะวันตกและความเป็นเมืองที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ทำให้ชิงเต่าเป็นเมืองที่ผสมผสานความต่างของวัฒนธรรมได้ดี ผู้คนเรียบร้อยและเป็นระเบียบมาก น้อยครั้งที่จะเจอคนจีนมาเดินเบียดเดินชน เมืองก็สะอาดสะอ้านมาก ผู้คนเป็นมิตรแม้ว่าจะยังใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ถนนหนทางที่นี่ถ้าในช่วงเวลาหลังเลิกงานรถก็จะหนาแน่นประมาณนึงเลย ก็ต้องเผื่อเวลากันหน่อย ส่วนถ้าเป็นทางด่วนที่ใช้เดินทางออกนอกเมืองหรือระหว่างเมืองก็จะเสียเงินค่อนข้างแพงแต่ก็แลกมากับความสะดวกในการเดินทาง
ทางยกระดับเค้าก็จะสร้างค่อนข้างสูงทำให้แสงและอากาศสามารถผ่านมาถึงด้านล่างได้ ทำให้เมืองดูไม่มืดและอึดอัด และที่น่าตื่นเต้นของชิงเต่าคือเส้นทางที่เราใช้กลับโรงแรมต้องลอดข้ามทะเลด้วยอุโมงค์ที่ยาว 8 กม. และสร้างลึกลงไปใต้ทะเล ถือว่าเจ๋งสุดๆ
สภาพอากาศ
ตอนช่วงที่เราเดินทาง (ประมาณกลางเดือนตุลาคม) อากาศจะอยู่ประมาณ 12-18 องศาเซลเซียส ถ้าใครจะเดินทางก็เตรียมเช็คสภาพอากาศและเตรียมเสื้อหนาวสวยๆไปใส่ได้เลยนะ
เรื่องทั่วไป : ค่าเงินหยวน
ค่อนข้างคงที่ประมาณนึง ถ้าคิดง่ายๆก็ประมาณ 5 บาทต่อ 1 หยวน อาหารทั่วไปข้างทางก็ตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงร้อยนิดๆ แต่ถ้าเป็นภัตตาคาร อาหารสไตล์โต๊ะจีน มื้อกลางวันจะตกประมาณคนละ 500 บาท และมื้อเย็นจะอยู่ที่ประมาณ 750 บาท ซึ่งก็แล้วแต่ปริมาณที่สั่งได้ , ปลั๊กไฟ สามารถใช้ได้เหมือนของประเทศไทยได้เลย , อินเตอร์เนต น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าจีนจะบล็อกพวกเว็บที่เราใช้ประจำ (Line, Facebook, Google) ถ้าสะดวกที่สุดก็คือซื้อซิมเดินทางต่างประเทศ เพราะจะสามารถเล่นได้เหมือนปกติ ถ้าใช้ WIFI ตามที่ต่างๆก็ต้องหาโหลดพวกแอพ VPN มาตั้งแต่เมืองไทย
การเดินทางในชิงเต่า
ภายในเมืองส่วนมากเป็นรถบัส แต่ที่ชิงเต่าก็มีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งในบริเวณสำคัญๆก็สามารถใช้งานได้ ,จากสนามบินมีรถ Airport Shuttle Bus เข้าเมืองราคาประมาณ (ใช้เวลา 1 ชม.-1 ชม.ครึ่ง)
การเดินทางจากไทย
ปัจจุบันก็มีเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-ชิงเต่า ของสายการบิน NokScoot ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขึ้นได้ที่สนามบินดอนเมือง (DMK) ไปลงสนามบินนานาชาติชิงเต่า (TAO) ราคาต่อเที่ยวก็ไม่แพง เที่ยวบินเวลาโอเคเลย ขากลับก็เที่ยวเต็มวันแล้วตรงกลับมาสนามบิน โดยใช้เวลาบินประมาณ 5 ชม. และเมืองจีนจะต้องบวกเวลาอีก 1 ชม. (รายละเอียดเวลาและเที่ยวบิน จาก www.nokscoot.com)
สุดท้าย สรุปเลยว่า ซิงเต่า ถือเป็นอีกเมืองจีนที่น่าสนใจมากๆ ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ยุโรปผสมญี่ปุ่น ลืมภาพจีนแบบเดิมๆ แล้วไปเที่ยวซิงเต่ากันดีกว่า 😀