Go! Thailand x NokAir : EP8 Phitsanulok – Phetchabun

“หิ้วจักรยานขึ้นเครื่อง “ตะโกนบอกฟ้า ที่ ผาบอกรัก” พิษณุโลก -เพชรบูรณ์”

สวัสดีครับ วันนี้เราจะไปเที่ยวจังหวัดที่คนเที่ยวเยอะมาก ใครๆเขาก็ไปกัน คือ พิษณุโลก กับเพชรบูรณ์

เขาค้อ ภูทับเบิก สารพัดอุทยานเยอะแยะไปหมด มีคนเที่ยวทั่วจนทั้งจังหวัดแล้ว

แต่เราจะไม่เที่ยวแบบธรรมดา เราจะลองหิ้วจักรยานขึ้นเครื่องไปเที่ยวกันบ้าง

หลายคนคิดว่าการแบกจักรยานขึ้นเครื่อง มันยุ่งยาก ทำเรื่องเยอะ เสียเงินอีกเยอะแน่ๆ

แต่ๆ ไม่น่าเชื่อ ว่าเราสามารถหิ้วจักรยานได้ ฟรี!  ฟรีแบบฟรีจริงๆ ไม่ต้องรอโปรโมชั่น แบบฟรีได้ทุกช่วงเวลา

หลายคนอาจไม่รู้ว่า สายการบินนกแอร์ สามารถนำจักรยานขึ้นเครื่องได้ฟรี

เพียงแค่พับจักรยานให้เรียบร้อย ถ้าพับไม่ได้ก็ให้ถอดล้อ เอาลมยางออก เพราะเวลาบินขึ้น ความดันอาจเปลี่ยนแปลงทำให้ยางระเบิดได้

แล้วแพคใส่กระเป๋าไว้ หรือห่อด้วยกระดาษก็ได้ เพื่อป้องกันความเสีบหายกับจักรยานของเรา แค่นี้ก็สามารถโหลดขึ้นเครื่องได้ฟรีแล้ว

ดีจริงเลยๆ เนอะ สำหรับขาปั่น ขาแรงทั้งหลายที่อยากไปปั่นต่างจังหวัดบ้าง

ถ้ากระเป๋าพร้อม จักรยานพร้อม ก็ไปเช็คอินกัน

เราบินออกจากดอนเมือง ไป พิษณุโลก Phitsanulok เวลา 13.40 น.

นกแอร์มีเที่ยวบินไป พิษณุโลกไป -กลับถึง 3 เที่ยวต่อวัน

ถึงสนามบิน พิษณุโลก จัดแจงเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็เดินทางไปแวะร้าน Rain Forest

เพื่อรับประทานอาหารว่าง และเตรียมพลังให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มปั่นกันจริงๆ

พักผ่อนเตรียมตัวเรียบร้อย ก็ไปต่อจุด Start ที่วัดแสงธรรม เพื่อจะไปปั่นไปตะโกนบอกฟ้าที่ อช.ภูหินล่องกล้า

ระยะทางทั้งหมดประมาณ 20 กม. ความชันโดยประมาณ 9-14%

เราก็คิดว่าระยะแค่ 20 กม. คงปั่นไม่นานหรอก เดี๋ยวก็คงถึงแล้ว ปกติเราก็ปั่นประจำในกรุงเทพ

แต่วันนี้ไม่ได้เตรียมจักรยานประจำตัวมา เลยอาศัยขึ้นรถเซอร์วิสตามขบวนมาดีกว่า (ฮ่าๆ)

เตรียมจักรยานอะไรจนเสร็จก็เริ่มออกตัวได้ มีทั้งหมดประมาณ 30 คันได้

พอเริ่มออกตัวไปไม่นาน ตอนแรกก็สบายๆ ชิวๆ ทางราบ แต่พอผ่านป้าย อช เท่านั้นล่ะ

เป็นทางขึ้นเขาล้วนๆ คือแค่ 9-14% ก็คือเนินย่อมๆ ที่ต้องใช้แรงปั่นขึ้นอย่างมาก ปกติแค่เนินเล็กๆก็เหนื่อยแล้ว

แต่นี้ขึ้นไม่หยุด แล้วไม่มีจุดพักเลย ขึ้นๆอย่างเดียว จนเริ่มมีคนยอมแพ้ หิ้วรถขึ้นกระบะแทน

บางคันรถก็เริ่มพังเพราะทางชันมาก ต้องถอนตัวออก แบบรู้สึกดีที่เราไม่ได้ไปปั่นกลับเขาด้วย งั้นยอมตั้งแต่กิโลแรกแน่ๆ

จนฟ้าเริ่มมืด ปกติตามกำหนดการณ์ 6 โมงเย็นน่าจะถึงที่พัก แต่นี้เข้าไป 2 ทุ่มแล้วยังไม่ถึงเลยเพราะทางทรหดกว่าที่คิดมาก

จนหลายๆคันต้องขอยอมแพ้ไป สรุปมีผู้พิชิตภูหินร่องกล้าได้แค่ 5 คนเท่านั้น เก่งมากจริงๆ ที่สามารถปั่นขึ้นมาได้

หลังจากพักผ่อน กินน้ำอะไรเรียบร้อย พวกเราก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่อุทยานกัน

มีอาหารมากมายเตรียมพร้อมไว้เลย แต่ละคนไม่พูดอะไรมาก กินกันอย่างเดียว ปั่นเหนื่อยมากกว่าจะถึง

ระหว่างทานข้าวมื้อค่ำ ก็มินิคอนเสริ์ทจากนกแอร์ด้วย ร้องนำโดย ครูแนท the voice

กินอาหารเพลินๆ ฟังเพลงเพราะ ปิดฉากทัวร์ปั่นจักรยานที่แสนทรหดกว่าที่คิด จบไปหนึ่งวัน

ก็เข้าที่พักแต่ละคน ห้องพักสำหรับ อช.ภูหินล่องกล้า ถือว่าดีมากเลยทีเดียว ห้องใหญ่ สะอาด มีแอร์ เหมาะแก่การมานอนมากๆเลย

ถ้าฤดูหนาวคงอากาศดีมาก เพราะขนาดเดือนนี้หน้าร้อน อากาศยังเย็นนิดๆเลย

ตื่นเช้ามาอีกวัน ผมแอบออกไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาบอกรักก่อนเลย นั่งรถตู้ไปถ่ายรูป

แต่ไปถึงผา กลับเจอภูเขาที่สูงกว่าบดบังพระอาทิตย์ซะงั้น เลยได้ภาพแบบแสงจัดๆ ไม่ได้แสงส้มๆตอนเช้าเลย เลยได้ภาพสวยๆไปอีกแบบหนึ่งแทน

อยู่ได้ซักพักเลยกลับลงมาที่พัก เดินเล่นวิวทิวสนสวยๆ มีแสงอาทิตย์ล่องช่องผ่าน

แล้วไปรับประทานอาหารเช้าให้เรียบร้อย เตรียมตัวปั่นสำหรับวันนี้

แล้วเราก็ไปรวมตัวกันหน้าอุทยานเพื่อออกกำลังกายวอร์มอัพกันซักหน่อย ป้องกันตะคริวกินระหว่างปั่น

วันนี้เราอยากลองปั่นจักรยานบ้างว่าจะโหดขนาดไหน ติด Gopro ไว้หน้ารถเลยเตรียมเก็บรูปภาพ

ทุกคนเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็พร้อมออกขบวนได้

ระยะเริ่มจากที่ทำการ ไป ลานหินปุ่ม ระยะนี้สบายมาก เพราะเป็นทางลง บังคับแฮนด์ให้ดีแล้วก็ไหลลงไปสบายๆ

แปปเดี๋ยวถึงล่ะลานหินปุ่ม ก็เดินไปถ่ายรูปเล่นกัน

ที่เรียกว่าลานหินปุ่ม เพราะลักษณะของพื้นเป็นหินที่เป็นปุ่มๆเต็มไปหมดทั่วทั้งลานเลย

ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์จริงๆเลย เกิดจากน้ำซะหินจนเป็นปุ่มเต็มไปหมด

เดินเล่นถ่ายรูปกันจนพอใจ เตรียมพร้อมกับของจริง เมื่อกี้มันแค่วอร์มเครื่องเท่านั้น

แล้วก็กลับไปปั่นต่อเพื่อไปตะโกนที่ผาบอกรัก!!

ของจริงมาถึงล่ะ ปั่นจักรยานขึ้นเขา พอตั้งแต่เริ่มก้าวขาเหยียบบันไดจักรยาน

รู้สึกได้ถึงความหนักทั้งหมดของจักรยาน รวมทั้งน้ำหนักตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก กล้ามเนื้อขาตึงแบบสุด

ต่างจากตอนขาลงมาก ขาขึ้นต้องใช้เวลาเกือบ 10 เท่าได้

ปั่นไปได้ซักกิโล เริ่มหมดแรง มีลงบ้าง แต่ก็ขึ้นอีกตลอด

สุดท้ายยอมแพ้แบกจักรยานขึ้นกระบะ นั่งบนรถเซอร์วิสดีกว่า

แล้วก็มาตามถ่ายรูปนักปั่นคนอื่นๆ วันนี้มีคนสู้ไหวเยอะ เพราะทางขึ้นๆลงๆ ไม่ใช่แบบเมื่อวานที่ขึ้นอย่างเดียวไม่มีจุดพักเลย

นักปั่น ปั่นเต็มที่ทุกคน ถึงเกือบทั้งหมดเลยทีเดียววันนี้

สุดท้ายก็ถึงยอดผาบอกรัก ที่ ผาบอกรักเป็นที่ทำการโครงการหลวง มีปลูกพืชมากมาย ปลูกกาแฟ

มีเด็กชาวเขา ขายพืชผัก ดอกกระดาษ

ตัวผามีหลายผามาก แต่ละผาก็มีชื่อเรียกต่างกัน ผาบอกรัก ผาแอบรัก ผาเดียวดาย ฯลฯ ก็ช่างสรรหาชื่อกันเหลือเกิน

ที่ผาบอกรักดังเพราะ สรยุทธ์มานั่งทำรายการตรงนี้ แล้วตั้งชื่อ ผานี้เลย

พอถึงแต่ละคนก็โชว์พลังตะโกนบอกรักกัน พร้อมกับจักรยานคู่ใจของแต่ละคน

บอกเลยว่าเก่งมากที่สามารถปั่นขึ้นมาถึงยอดนี้ ต้องใช้กำลังขามากมายเลย

ใกล้เที่ยง ปั่นจักรยานมาแต่เช้า ท้องก็เริ่มหิว ถึงเวลากินแล้ว เรามุ่งตรงสู่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

เราไปรับประทานที่ร้านอาหารที่เขาค้อทะเลภู เป็นร้านอาหารแนวชีวจิต อาหารทุกอย่างออร์แกนิค มีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคขายด้วย

แต่ที่ชอบคือขนมกล้วย กับไอติมออค์แกนิค อร่อยมากๆ รสชาติเข้มข้น

ต่อมาเราไปชมความงามของพระธาตุผาซ่อนแก้ว

วัดตั้งอยู่บนเนินเขา กลางเขาค้อ เป็นจุดหนึ่งที่ตอนนี้ใครมาเที่ยวเขาค้อแล้วก็ต้องแวะกัน

เป็นหนึ่งในวัดที่สวยมากๆ ในประเทศไทย ถ้ามาตอนมีหมอกนะ ยิ่งสวยเขาไปอีก

ตัววัดจะมีสีสันสดใสอันเกิดจากการนำกระเบื้องสีถ้วยชาม เบญจรงค์มุกลูกปัดแก้วแหวนเงินทอง

สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาตกแต่งเป็นลวดลายที่สวยงาม

และมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่เป็นองค์พระสีขาวเรียงซ้อนกัน 5 องค์

พร้อมกับฉากหลักเป็นวิวเขา ทำให้เป็นวัดที่ติดอันดับความสวยจนทุกคนต้องมาเยือน

ชมความงามของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วแล้ว เราก็รีบตรงดิ่งกลับที่ พิษณุโลก

ระหว่างทางเราแวะร้าน Story Cup ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของ Coffee Hill ที่สร้างชื่อให้คนมาเที่ยวเขาค้อกัน

บรรยากาศร้านสบายๆ มีที่นั่งพักผ่อนหลายที่ นั่งกินกาแฟ กับเค้ก ชิลๆไป

พอพักกินกาแฟเรียบร้อยเราก็มุ่งกลับสู่ พิษณุโลก ทันที

เราไปแวะที่ร้านแพภูฟ้าไทย เป็นร้านที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำน่าน บรรยากาศดี ชมพระอาทิตย์ตกในตัวเมือง

กินจนอิ่มเรียบร้อย เราก็เขาที่พักต่อที่ The Park

เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหม่ในตัวเมือง พิษณุโลก บรรยากาศ Modern ห้องใหญ่ใช่ได้ทีเดียว

พอถึงเตียงนอนไม่นาน หลักจากเหนื่อยมาทั้งวัน ก็จบไปอีกคืนอย่างรวดเร็ว

ตื่นเช้า มารับประทานอาหารเช้ากัน ลักษณะห้องอาหารของโรงแรมนี้จะแต่งเหมือน Home Kitchen บรรยากาศบ้านๆ

เป็นการออกแบบห้องรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครจริงๆ

สายๆเริ่มออกเดินทางเที่ยวในตัวเมือง ด้วยรถรางไปชมตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

สถานีรถไฟ หอนาฬิกา วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร สถูปเจดีย์พระนเรศวรมหาราช และรอบๆตัวเมือง

แล้วเราก็พักรับประทานอาหารกลางวันที่ ร้านครัว ซึ่ง เป็นขึ้นชื่ออันดับต้นๆของจังหวัดพิษณุโลกเลย

ต่อไปมาเราไปพิพิธภัณฑ์จ่าทวี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้าน

อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน บางอย่างก็เคนเห็น บางอย่างก็ไม่เคยเห็นเลย

โดยเฉพาะเครื่องมือดักจับสัตว์ต่างๆ หลายชิ้นเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย บางอย่างก็อันตรายน่าดู

ในพิพธภัณฑ์จะมีคนค่อยพาชม และอธิบายเครื่องใช้มากมาย บางอย่างเราก็ไม่รู้ว่ามันใช้ยังไง

ต้องให้วิทยากร อธิบายให้ดู ถึงจะรู้ว่าภูมิปัญญาชาวบ้านนี่แหละ เจ๋งจริงๆเลย

นอกจากเครื่องมือ เครื่องใช้แล้ว ยังมีพวกรูปภาพตัวเมือง พิษณุโลก สมัยก่อนว่าเป็นมายังไง มีประวัติความเป็นมาของจังหวัด

แล้วยังมีโชว์พันธุ์ปลาในลุ่มน้ำจังหวัด พิษณุโลก ด้วย

มาที่นี้ที่เดียวสามารถเก็บเกี่ยวความรู้ของ พิษณุโลก ได้มากมายเลยทีเดียว

จากนั้นเราไปสักการะองค์พระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด พิษณุโลก

เป็นพระพุทธรูปที่ว่าสวยที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว พอชมความงามด้วยตาตัวเอง แล้วเราก็เชื่อจริงๆว่าเป็นองค์พระที่สวยงามมาก

มีโอกาสมา พิษณุโลก ก็ต้องมาที่นี้ให้ได้ วัดมหาธาตุฯ

แล้วก็เราก็มาไหว้วัดที่อยู่ข้างๆกัน คือวัดนางพญา ในวัดจะมีองค์เจดีย์ 2 องค์ติดอยู่กับโบสถ์ ดูสวยงามไปอีกแบบ

ตกเย็นก่อนกลับบ้านเรามีนัดกันที่ถนนคนเดิน พิษณุโลก ชมความงามของพระอาทิตย์ตก เดินช๊อปปิ้ง ทานอาหารในตลาด

แล้วพอตะวันลับขอบฟ้า ก็ถึงเวลานัดของพวกเรา นั้นคือกิจกรรมรำวง ณ ถนนคนเดิน  พิษณุโลก

ซึ่งปกติก็จะมีทุกวันที่มีถนนคนเดินแล้ว

พอถึงที่นัดก็มีกลุ่มคนนำรำวงนั่งรอต้อนรับกัน แต่ละท่านน่าจะผ่านการรำวงมาแล้วอย่างโชกโชน ชั่วโมงบินสูงกันทั้งนั้นแน่ๆ

ไม่รอช้าไม่ทันไร พอเพลงเปิด ทุกคนตอนแรกที่นั่งกับเก้าอี้ นั่งพัดกัน ก็ลุกออกมารำวง แบบลืมอายุกันเลยทีเดียว

ออกเสต๊ปแบบคนหนุ่มสาวยังอาย แข็งแรงมากจริงๆ แล้วก็ชวนทุกคนออกมารำวงกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พิษณุโลก นี่บรรยากาศดีจริงๆ

ใครมาแล้วยังร่วมรำวง ก็แค่จ่ายคนละ 10 บาทเท่านั้นต่อเพลง หรือจะเหมา 200 เต็นจนจบงานเลยก็ได้

แต่ละคนเต้นแบบไม่รู้จักเหนื่อย เข้าไปเป็นชั่วโมงก็ไม่เหนื่อยเลย

และแล้วเราก็จบทริปด้วยการร่วมกันรำวงที่สนุกสนาน ซึ่งหายากแล้วในตอนนี้ ใครอยากที่จะมาย้อนความสนุกแบบสมัยก่อน ให้ลองมารำวงได้ที่นี้เลย

จากนั้นเราก็เดินทางไปสนามบิน phitsanulok เพื่อขึ้นเครื่องสายการบิน Nokair รอบเวลา 21.30 น. เพื่อกลับสู่สนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ

จบทริปเที่ยวเมืองไทยแบบลองแบกจักรยานไปเที่ยวด้วยบ้าง ก็ให้ความสนุกกับการเที่ยวอีกแบบหนึ่งเลย

ครั้งหน้าว่าจะลองแบกไปเที่ยวที่อื่น แบบ Slow life บ้าง ให้ปั่นขึ้นเขาแบบนี้ขอยอมแพ้ครับ ไม่ไหวๆ

ทริปปั่นจักรยาน Phitsanulok – Phetchabun ก็จบเพียงเท่านี้

ขอบคุณมากครับที่ติดตามชม ไว้พาไปเที่ยวกันใหม่

ยังมีทริปสวยๆอีกมาก ติดตามกันได้ที่

Tags Cloud

แชร์เนื้อหา
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest

RELATED STORIES