[Go!Graph x JREast] Ep.2 Aomori – Hirosaki

ต่อจากฮาโกดาเตะ เรานั่งรถไฟ Hayabusa ด้วย Jr East South Hokkaido Pass เหมือนเดิม จากฝั่งฮอกไกโด เราก็หมุดทะเลมาโผล่ โทโฮคุ เสียที และเมืองแรกที่ถึงคือ Aomori ซึ่งอยู่ด้านบนสุดของโทโฮคุ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโทโฮคุ เขาว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่หิมะตกหนาที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่เรามาช่วงหน้าร้อน เจออากาศแบบกำลังสบายๆแทน และช่วงนี้จะมีผัก ผลไม้อร่อยๆ วางขายเต็มอาโอโมริเลยด้วย

Aomori

พอลงมาจากรถไฟ เดินเข้ามาในสถานี ก็เจอเด็กนักเรียนยืนแจก พวงปลาทอง เพราะว่าช่วงนี้ เป็นช่วงงานเทศกาล Nebuta เทศกาลใหญ่ช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่นเลยทีเดียว บางคนคงเคยรูปโปรโมทเที่ยวของญี่ปุ่นที่เป็นโคมไฟประดับขนาดใหญ่ นั้นแหละ คืองานนี้เลย ที่เด็กๆแจกปลาทองเพราะถือว่าเป็นสัตว์มงคล และเป็นสัตว์ที่เจ้าเมืองฮิโรซากิชอบเลี้ยงมาก แต่เมื่อก่อนนั้นราคาแพงมาก ชาวบ้านเลยพับกระดาษ หรือ ทำโคมไฟเป็นรูปปลาทองให้เด็กถือแทน เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ไปเลย

เข้าเมืองมาจะเจอตึกสัญลักษณ์ของ Aomori เลย คือตึกทรงสามเหลี่ยม ชื่อว่า ASPAM

และแน่นอนเวลาได้ไปตรงของเมืองก็มักจะเจอแต่แอปเปิ้ล เพราะอาโอโมริเป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลใหญ่สุดในญี่ปุ่นนั้นเอง แบบทุกที่จะมีน้ำแอปเปิ้ลให้กินหมดเลย

Aomori

Nebuta Warasse

  • ค่าเข้า 600 เยน

ที่ Nebuta Waresse คือพิพิธภัณฑ์ที่มีไว้จัดแสดง และเก็บรักษาโคมไฟงานเทศกาล Nebuta ข้างในจะเล่าถึงการกำเนิดของงานเทศกาล ลักษณะของเทศกาลในสมัยก่อน จนถึงปัจจุบัน กระบวนการทำโคมไฟทั้งหมด ตั้งแต่วาดแบบ ขึ้นโครง ประกอบเป็นโคมไฟยักษ์ คือ ไม่ต้องมาช่วงงานเทศกาล ก็สามารถมาดู Nebuta ได้ที่นี้แหละ

โคมไฟเนบูตะ มักจะสร้างเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของซามูไร หรือ สามก๊ก ไม่ก็สู้กับปิศาจ เทพ

ด้านหน้าจะเล่าประวัติของเทศกาลเนบูตะ แบบแรกจริงๆ เป็นแค่โคมไฟขนาดเล็ก มีขบวนเต้น กลอง แล้วต่อมาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากแบก 1 คน จนต้องมีคนแบกหลายคนนับสิบเลย แล้ววางไว้บนรถเข็นแทน

Aomori

ก่อนจะขึ้นโครงโคมไฟ ก็จะมีการสเกตรูปก่อน โดยมาจะการประกวดจากโรงเรียนต่างๆในเขต

Aomori

แล้วเราก็เห็นตัวจริงด้านใน อลังการงานสร้างมาก ทุกอย่างสร้างจากไม้ไผ่มากระกอบเป็นโครง แล้วเอากระดาษทาสีตามแบบ ลวดลาย จนสำหรับเป็นโคมไฟเนบูตะ

ภายในจะมีการเก็บโคมไฟที่ชนะเลิศของปี อย่างโคมไฟกัปปะ เป็นอันชนะเลิศในปีที่แล้ว

มา Aomori ห้ามผ่านเด็ดขาดกับมิวเซียมที่นี้

A-Factory

เป็นแหล่งรวมของดีของ Aomori คือ แอปเปิ้ล รวมผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำจากแอปเปิ้ล A-Factory ก็มาจาก Apple Factory เนี่ยแหละ ภายในแอปเปิ้ลตั้งแต่เป็นผล น้ำ ขนม เบียร์ เหล้า ไหว้ สบู่ น้ำหอม หรือของแฮนเมดทำจากไม้แอปเปิ้ล คือใครชอบแอปเปิ้ลมีคลั่งมาก

ของเยอะจริง ทำจากแอปเปิ้ลทั้งหมด

น้ำแอปเปิ้ลก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ

ข้างในมีร้านอาหาร อยู่หลายร้านเลย สามารถมองวิวท่าเรือ Aomori ได้

เชอร์เบตคือแอปเปิ้ลมาก มีสัมผัส รส เนื้อ ของแอปเปิ้ล หอมหวาน อมเปรี้ยวนิดๆ ห้ามพลาด ใครชอบแอปเปิ้ลจะรักที่นี้มากกกกก บอกเลย

Aomori Hotate Koya

ของดีอีกอย่างของ Aomori คือ โฮตาเตะ หรือ หอยเชลล์ นั้นเอง เพราะงั้นเลยมีร้านที่สามารถจ่าย 1000 เยน ตกหอยเชลล์ได้ 3 นาที ได้เท่าไร เอาไปหมดเลย!! คุ้มมากมาย

บรรยากาศในร้านแบบร้านอิซากายะปิ้งย่าง

ดูเหมือนง่าย แต่ก็ยาก แต่มันก็ไม่ยากอย่างที่คิด เทคนิคคือต้องเอาตะขอไปเกี่ยวให้โดนเนื้อแล้วก็หอยจะปิดฝาแน่นเองเลย แล้วก็ดึงขึ้นเลย

3 นาทีได้มาประมาณ 5 ตัวคุ้มมาก ตัวใหญ่ทั้งนั้น

แล้วทางร้านก็จะเอาหอยที่เราตกได้ไปย่าง ซาซิมิ ย่างมิโซะ แล้วแต่สั่งเลย

นอกจากหอยเชลล์ยังมีด้งทะเลหน้าต่างๆอีกด้วย ร้านนี้คุ้มค่ามากมาย ไม่แพงและของดีมาก

Lake Towada

เป็นทะเลสาบชื่อดังของ Aomori ที่มีเหมือนทิวทัศน์ที่งดงาม ไม่ว่าฤดูไหน แต่ฤดูที่สวยที่สุดคือฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างทางไปก็จะมีจุดชมวิวต่างๆมากมายระหว่างทาง

บ่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิสูงมาก ไม่สามารถลงไปได้ เพราะมีความร้อนสูงเกินไป ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวจะเห็นควันลอยขึ้นมาเยอะมาก

Norennuma Pond

เป็นบึงน้ำระหว่างทางไป Lake Towada เป็นบึงเล็กๆที่เป็นแหล่งดูนก และชมวิว ถ้าอากาศดีๆ ท้องฟ้าโปร่งจะเห็นทะลุไปถึงทิวเขาด้านหลังได้เลย

The Oirase Gorge

ธารน้ำโออิราเซะ เป็นธารน้ำที่ไหลตามทางตลอดทางไป Lake Towada เป็นธารน้ำที่มีธรรมชาติสวยงามมาก น้ำไหลแรงตลอดทั้งปี ยิ่งถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสี ส้ม เหลือ แดง ตัดกับสีฟ้าของธารน้ำโออิราเซะ สวยงามมาก จนต้องมาให้ได้ซักคนในชีวิตเลย

ระหว่างตลอดทางจะมีน้ำตกเล็กๆ อยู่ตามเส้นทางของธารน้ำอีกด้วย

ล่องเรือ Lake Towada

ทะเลสาบโทวาดะ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟจะเป็นแอ่งกว้างมาก แล้วฝนตกจนน้ำขังท่วมจนเป็นทะเลสาบ ด้วยเป็นพื้นที่ภูเขาไฟแล้วมีแร่ธาตุเยอะมาก จึงทำให้น้ำในทะเลสาบโทวาดะสีฟ้าสวยมาก สะท้อนวิวทิวทัศน์ซ้อนกันเลย

ภายในเรือจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้น 1 และ 2 สามารถนั่งได้แค่จ่ายตั๋วค่าเรือ แต่ชั้น 3 ต้องเสียเงินเพิ่มเติมด้วย แต่จริงก็อยู่แค่ชั้น 2 ก็พอแล้ว

วิวทะเลสาบสวยงามมากกกกก ฟ้าแบบสะท้อนเห็นบนน้ำเลย

การเดินทางในทะเลสาบโทวาดะสามารถนั่งรถบัสมาได้จากสถานีรถไฟ JR Aomori เลย จะมีบริการขนส่งตามจุดต่างๆ ทั่วเขตทะเลสาบโทวาดะ

Oirase Keiryu Hotel

เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวในแถวธารน้ำโออิราเซะ โรงแรมจะเน้นตกแต่งแบบเป็นไม้ดูโปร่งสบาย มีจุดให้ผู้พักมานั่งพักผ่อนมากมาย

โรงแรมนี้จะดังในเรื่องทำอาหารจากแอปเปิ้ลจะมีห้องที่วางแอปเปิ้ลให้ดูเป็นกำแพงหลายหมื่นลูกเลยทีเดียว แล้วสามารถเอาไปทำอาหารได้จริงๆด้วย

ในสวนของห้องพักจะเป็นแบบสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์น ที่มีการการใช้เสื่อทาทามิ แต่มีการเล่นระดับและเป็นเตียงแทน จุดเด่นคือมีโซฟาให้นั่งชมวิวธรรมชาติด้านนอกด้วย

เซตอาหารกลางวันของโรงแรมจะเป็นอาหารที่ทำจากแอปเปิ้ล สามารถเลือกหน้าด้านนอกริมธารน้ำได้ ได้บรรยากาศธรรมชาติดีๆมากเลย

ชุดอาหารกลางวันข้าวแกงกระหรี่แอปเปิ้ล เป็นแกงกระหรี่ที่เคี่ยวจากแอปเปิ้ลและเนื้อ อร่อยมากๆ

หรือถ้าใครไม่ทานเนื้อก็จะมีชุดอาหารกลางวันแบบสลัด และขนมปัง ที่มีเพสรสต่างๆ ให้ทากับขนมปังกิน

Sukayu Onsen

ออนเซนเก่าแก่ของ Aomori อายุมากกว่าร้อยปี ความพิเศษของที่นี้คือเป็นออนเซนแบบห้องน้ำรวม!! ใช่แล้ว ชาย หญิง รวมกันในห้องเดียวกันเลย เป็นความฝันของชายแน่ๆ ที่จะได้อาบน้ำรวมแบบนี้

นี้คือรูปภาพในออนเซนที่แสดงให้ดูว่าอาบน้ำรวมแบบนี้เลย

ทางเข้าออนเซนก็จะแบ่งห้องเปลี่ยนชุดแยกชายหญิก่อน

ลักษณะห้องออนเซนรวมเป็นแบบในภาพเลย แต่จริงๆแล้วมีกำแพงตั้งตรงกลาง บังแยกส่วนของหญิง ไม่ให้ผู้ชายเห็นเลย แต่ก็มีช่องให้ผู้หญิงออกมาได้ตรงห้องรวมด้วย แต่ผู้หญิงที่ออกมาก็มักจะเป็นคุณยาย ไม่ก็แม่ที่พาลูกมาด้วย สาวๆไม่มีออกมาเลย อยู่หลังกำแพงหมด ฝันสลายของผู้ชายเลย ฮ่าๆ

ในออนเซนยังมีส่วนของที่เป็นพักด้วย โดยจะมีห้องแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่ยังคงไว้เหมือนเดิมแบบร้อยปีก่อนเลย

แล้วก็ยังมีห้องที่สร้างขยายเพิ่มเติมออกมาให้ด้วย

ใครสนใจประสบการณ์ออนเซนรวมมาลองที่นี้ได้เลย รับรองเห็นแต่ภาพแบบในรูปแรกเลย ฮ่าๆ

Hanano-ya 

ร้านอาหารแนวจังโกะนาเบะ ตั้งอยู่ใต้โรงแรม Sunroute Hotel จังโกะนาเบะเป็นอาหารหม้อไฟที่ใส่ผักเยอะๆ และเนื้อปั้นก้อนลงในหม้อไฟ เป็นอาหารที่นักซูโม่มักทำกินกัน

เริ่มจากอาหารออเดริ์ฟก่อน เป็นโฮตาเตะย่างมิโซะ

ชุดซาซิมิรวม ของดีสุดเลยคือซาซิมิหอยเป๋าฮื้อ อร่อยมากกก

จิบเหล้าญี่ปุ่นไปด้วย ดีมากเลย

พร้อมแล้วสำหรับจังโกะนาเบะ คุณยายเจ้าของร้านก็จะเอาผักมาใส่เยอะๆในหม้อรอจนเดือดผักสุกก็พร้อมกินแล้ว คือเราก็สงสัยว่าทำไมนักซูโม่กินแบบนี้ถึงอ้วน คือเขาไม่กินแค่นี้ เขากินเยอะแบบเป็นหม้อๆเลย แบบหม้อตามร้านข้าวแกงเลยไง

พร้อมแล้วคุณยายก็ตักแบบให้ทุกคนจนหมดหม้อเลย แค่นั้นไม่พอเมื่อเครื่องในหม้อแล้วเหลือแค่น้ำ คุณยายก็เอาเส้นราเม็งมาใส่ให้กินอีก แล้วก็ตักแบ่งให้ทุกคน ถึงจะอิ่มแล้วคุณยายก็บังคับตักให้จนหมดหม้อ แบบอิ่มมากๆ เชื่อแล้วที่ซูโมกินนี้แล้วตัวใหญ่กัน เพราะเยอะมากๆ

Sunroute Hotel

เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางตัวเมืองอาโอโมริ ไม่ห่างจากสถานีรถไฟนัก ถือว่าสะดวกมากๆ สำหรับการมาพักที่อาโอโมริ

ในห้องขนาดเล็กกระทัดรัดตามแบบฉบับญี่ปุ่น

จากห้องในโรงแรมสามารถมองออกไปให้ตึก ASPAM เลย

Aomori Nebuta

แล้วก็มาถึงงานเทศกาลสำคัญของ Aomori จะจัดช่วงต้นสิงหารของทุกปี เทศกาลโคมไฟยักษ์ที่จะมีขบวนแห่โคมไฟที่ยาวหลายกิโล เพราะขบวนหนึ่งก็ยาวประมาณ 200-300 เมตรเลย แล้วแต่ละหมู่บ้านก็จะส่งขบวนแห่ของตัวเอง งานจะมีทั้งหมด 2 วัน มีการแห่ทั้ง 2 วัน เพราะขบวนแห่เยอะมากเลยแบ่งให้แห่กันวันละ 25 ขบวน เท่ากับมีทั้ง 50 ขบวนเลยทีเดียว ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในประเทศญี่ปุ่น

ในขบวนจะประกอบด้วยโคมไฟใหญ่ เล็ก ขบวนตีกลอง ขบวนดนตรี คนลาก คนเต้น และตัวตลก

ทุกขบวนจะมีกลุ่มนักดนตรีทุกขบวน หลักๆจะเป็นฉาบ และ ขลุ่ย

เมื่อเริ่มเดินขบวนโคมไฟยักษ์แบบต่างๆก็มากมายของแต่ละหมู่บ้านก็เคลื่อนมาให้ดูกัน อลังการงานสร้างมาก ต้องมาดู

หัวขบวนของงานก็จะมีนางงามเนบูตะ ที่จะมานำขบวนก่อน

ในทุกขบวนจะมีขบวนตีกลอง เป็นการตีที่ใช้พลังงานมาก ตีหนักแน่นและเป็นจังหวะพร้อมเพียงกัน จะมีการสลับตำแหน่งกันด้วย เพราะถ้าให้ตีตลอดทั้งงานคงไม่ไหวแน่นอน

ทุกขบวนจะมีขบวนเต้นด้วย แต่ละขบวนก็จะแตกต่างกันไป คือจะมีขบวนที่ซ้อมเต้นมาแบบพร้อมเพียงกัน และก็ขบวนแบบชาวบ้านใครก็ได้เข้ามาร่วมด้วย คือใครที่แต่งชุดเนบูตะ สามารถเข้ามาร่วมเดินได้ทั้งหมด เลยจะเห็นฝรั่งที่แต่งชุดเนบูตะเข้าไปอยู่ในขบวนด้วย เป็นงานที่สนุกมาก

ชุดประจำเทศกาลเนบูตะแบบเต็มชุดจะเป็นแบบลักษณะในรูป คือจะมีหมวกสวมเข้าไปด้วย แล้วคนพกนี้มันจะเต้นเต็มมาก เต็มที่สุดๆ

และในขบวนก็จะมีกลุ่มที่จะเป็นตัวตลก จะแต่งตัวแปลกๆเดินไปทั่วทั้งขบวน

งานเทศกาลเนบูตะมีโอกาสควรมาให้เห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง งานมียิ่งใหญ่มากๆ สมเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่คนทั้งโลกเห็นแล้วนึกถึงญี่ปุ่นเลย

Hirosaki

เป็นเมืองที่อยู่ติดกันกับ Aomori ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.ก็ถึงแล้ว เมืองฮิโรซากิถือว่าเป็นเมืองเก่าสำคัญในอดีตที่จะมีเจ้าเมืองและปราสาทฮิโรซากิตั้งอยู่

เมื่อมาถึงฮิโรซากิก็จะเจอกับรูปปั่นสัญลักษณ์หน้าสถานีรถไฟ JR เป็นรูปปั้นชายหญิงถือแอปเปิ้ล บ่งบอกถึงของดีของเมืองนี้เลยก็คือ แอปเปิ้ลนั้นเอง

Hirosaki Castle

เป็นปราสาทแค่ไม่กี่หลังในญี่ปุ่นที่ไม่ถูกทำลายไปในสมัยสงคราม ยังคงอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่สร้างขึ้นมา เป็นปราสาทที่ไม่ใหญ่มาก แต่ตั้งอยู่ในยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคโทโฮคุเลย

ความน่าสนใจของปราสาทฮิโรซากิคือการวางผังรอบปราสาท ที่มีการสร้างต่างไปจากปราสาทอื่นๆ คือทางเข้าจะสลับทิศทางกัน ทำให้ข้าศึกสับสนได้ว่าจะบุกเข้าไปทางไหน

ภายในเขตปราสาทจะเป็นสวนขนาดใหญ่ ที่ต้นไม้หลักๆจะเป็นซากุระเกือบ 90% เลยที่เดียว เลยถือว่าเป็นแหล่งชมซากุระที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลย เพราะงั้นหน้าซากุระห้ามพลาดเด็ดขาดเลยที่นี้

ตัวกำแพงเมืองจะมีการสร้างขึ้นมาเพิ่มเติมหลายรอบ สามารถดูได้จากต้นไม้ที่เกาะกับกำแพงว่ามีการไล่การโตกัน กำแพงที่สร้างหน้าก็จะมีมอสขึ้นปกคลุมหนากว่ามาก

แต่เนื่องจากมีการแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในบริเวณนี้ ทางการญี่ปุ่นเลยต้องการป้องกันปราสาทไว้ก่อน เพราะเกรงว่าถ้าแผ่นดินไหวจุดนี้ กำแพงคงพังแน่ๆ เลยทำการขยับปราสาททั้งหลังเลื่อนออกไปตรงกลางก่อน เพื่อซ่อมกำแพงให้หมด  คือ ความเจ๋งคือยกปราสาทให้ลอยขึ้นมาทั้งหลังโดยไม่ต้องถอนประกอบเลย ใส่คานแล้วยกด้วยแม่แรงเลื่อนไปตั้งชั่วคราวก่อน ญี่ปุ่นเจ๋งมากมายยยยย

ถ้าดูในรูป ก็เห็นว่าปราสาทหายไป เรามักจะเห็นรูปปราสาท สะพานแดง และซากุระ คือตรงนี้แหละะ แต่ช่วงนี้ปราสาทเลื่อนไปก่อนนะ ไว้จะกลับมาตั้งไว้ที่เดิมหลังซ่อมกำแพงเสร็จ ยังกับเป็นเล่นเลยนะ เลื่อนไปแบบนี้ได้

วิวนี้ถ้าอากาศดีๆจะมองไปเห็นทิวเขาด้านหลังเลย

Tachi Neputa

เป็นพิพิธภัณฑ์เนปูตะ คือคล้ายกับเนบูตะนั้นแหละ แต่ออกสำเนียงคนละแบบกันเท่านั้นก็คนละเมืองนิ

ภายในจะจัดแสดงประวิติของเทศกาลเนปูตะ โคมไฟที่นี้จะแตกต่างจากเนบูตะเลย จะเป็นแบบโคมไฟทรงพัดขนาดใหญ่ แล้ววาดภาพลงไปบนโคมไฟ ภาพเขียนที่นี้ก็จะเป็นเรื่องรางของสงครามนั้นแหละ แต่ภาพจะมีเความโหดเถื่อนกว่าเนบูตะมาก เพราะเมื่อก่อนแต่ละหมู่บ้านจะเอาโคมไฟมาประชันใครเจ๋งกว่า โหดกว่าเพราะแต่ละคนก็นักเลงมาก การวางภาพเลยจะโหดมาก และโหดขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่มขู่อีกหมู่บ้านนั้นเอง

ภายในก็จะมีการแสดงเพลงที่ใช้ในการแห่ของงานเทศกาลด้วย

โคมไฟรูปปลาทองที่เป็นสัญลักษณ์ของงานเทศกาลเนปูตะ มักจะเห็นเด็กๆถือเดินไปมาในงานนี้

เหตุที่ภาพของงานเทศกาลเป็นแบบนี้เพราะในสภาพเริ่มนั้นการ์ตูนเรื่องสามก๊กดังมาก และมีลายเส้นที่ดุดัน มีการต่อสู้ ชาวบ้านก็เลยวาดภาพนี้ลงไปบนโคมไฟ ถ้าเทศกาลนี้เกิดในช่วงปัจจุบัน คงเห็นลูฟี่ หรือ นารุโตะแทนแน่ๆเลย ฮ่าๆ

โหดขนาดไหน คือมีโคมไฟแบบหัวขาดด้วย แล้วจะมีรูปประวัติว่าแต่ละหมู่บ้านจะมีมาตีกันอีก คือกลายเป็นงานยกพวกตีกันของแต่ละหมู่บ้านซะงั้น

ส่วนต่อมาของพิพิธภัณฑ์ยังมีส่วนแสดงทำงานฝีมือแบบต่างๆ มีอาจารย์ทำให้ดูด้วย ของดังก็จะเป็นตุ๊กตาไม้แบบญี่ปุ่น หรือตะเกียบลงรักที่จะดังมากๆ ของเมืองฮิโรซากิ

ภายในยังมีสวนแบบญี่ปุ่นที่มีบ่อปลาคราฟ เราสามารถตบมือเรียกปลาคราฟมาหาได้ด้วยนะ

ยังมีส่วนแสดงลูกข่างแบบต่างๆ และสาธิตให้ดูด้วย มีลูกข่างแบบต่างหลากหลายกว่าที่เราคิดมากเลย

Hibiki – Hirosaki Park Hotel

เป็นร้านอาหารสไตล์ไคเซกิ ของฮิโรซากิ โดยจะเสริฟจะครอสอาหารแบบญี่ปุ่นเป็นชุดแล้วแต่พลเราสั่งไป อาหารของร้านนี้จะใช้วัตถุดิบของในเขต แต่ความแตกต่างที่ตรงมาร้านนี้ เพระว่าร้านนี้มีการแสดงสดของดนตรีพื้นบ้านของฮิโรซากิ นั้นเอง

คอรสอาหารสไตล์ไคซาดิ โดยใช้วัตถุดิบแบบฮิโรซากิ

และแน่นอนซาซิมิโอตาเตะต้องมี

หมูราดซอสมิโซะ

และข้าวที่เป็นของดีของที่นี้

เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อบนักดนตรีพื้นบ้านก็ขึ้นเวที และแสดงการเล่นให้ดู เป็นประสบการณ์อีกแบบในเมืองฮิโรซากิ

และตบท้ายด้วยไอติมเชอเบทรสองุ่น

Hirosaki Neputa

งานเทศกาลเนปูตะ เป็น1ในเทศกาลโคมไฟดังของโทโฮคุเลย ในช่วงต้นเดือนสิงหาในโทโฮคุแต่ละเมืองก็จะมีงานเทศกาลโคมไฟแตกต่างกันไปในแบบของตัวเอง แต่ละที่ก็จะเจ๋งในแบบของตัวเองเลย

อย่างเทศกาลเนปูตะ ก็เป็นงานโคมไฟประจำของเมืองฮิโรซากิ งานเริ่มประมาณ 1 ทุ่ม พอช่วงเย็นคนญี่ปุ่นก็เริ่มออกมาจับจองพื้นที่ชมตามถนนแล้ว ตามถนนก็จะมีร้านแผงลอยเปิดขายตลอดทางเลย

เมื่องานเริ่มต้นนางงามประจำเทศกาลเนปูตะก็เดินเปิดขบวนเลย สวยแบบเรียบง่าย

แต่ละขบวนก็จะเริ่มต้นด้วยโคมไฟขนาดเล็กก่อน โดยจะมีคนเข็นวิ่งไปมาแบบพุ่งเข้าหาคนดูเพื่อเรียกเสียงเฮจากผู้ชม

ความแตกต่างที่โดดเด่นของเนปูตะคือกลอง จะเป็นกลองขนาดใหญ่มีคนช่วยกันหลายคน ดูแล้วมีพลังล้นออกมามายมาย

ภาพบนโคมไฟนอกจากผู้ชาย ยังมีรูปแบบนักรบผู้หญิงด้วย โดยเฉพาะของเนปูตะ ผู้หญิงมีหลายโคมไฟเลยทีเดียว เหมือนว่าแบบผู้หญิงของที่นี้เป็นใหญ่เลย

โคมไฟรูปมาสคอตของเมืองฮิโรซากิ เป็นนกเหยี่ยว

ช่วงแรกๆยังเป็นโคมไฟขนาดเล็กอยู่ แต่ก็ไม่ลดความตื่นเต้นเลย เพราะแต่ละคนเต็มที่กับงานนี้มาก

บางโคมไฟก็เป็นแบบพิเศษอย่างอันนี้มีคนขี่ข้างบนแล้วพ่นควันออกจากปากม้าได้

ตัวนี้ก็อ้าปากแลบลิ้นได้

บางก็ออกเป็นสามมิติเลย แต่คงทรงฐานแบบดั้งเดิมของเนปูตะ

ความน่ารักของที่นี้ คือผิดกับผู้ใหญ่ที่แต่งตัวแบบแยงกี้ นักเลง โหดๆ คือจะมีให้เด็กมาเดินขบวนด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนอย่างที่บอกว่าแต่ละหมู่บ้านชอบมาตีกันตอนงานเทศกาลทุกครั้ง เจ้าเมืองเลยสั่งห้ามผู้ใหญ่แห่ขบวน ให้เด็กเท่านั้นเป็นคนแห่ จะได้ไม่ต้องตีกัน เลยเป็นที่มาที่งานเทศกาลเนปูตะจะมีเด็กมาร่วมขบวนแห่เต็มไปหมด มุ้งมิ้งแตกต่างจากผู้ใหญ่ไปเลยที่จะโหดๆ

โคมไฟเล็กก็มีแบบเด็กลากด้วยเหมือนกัน

ไม่ก็เด็กสาวมัธยมมาเข็น เต็มที่เหมือนกัน

ความเจ๋งอีกอย่างของเนปูตะ คือ โคมไฟหมุนได้และขึ้นลงได้ด้วย เพราะขบวนต้องผ่านเขตตัวเมือง เลยมีสายไฟฟ้าอยู่ตลอดทาง เพราะงั้นโคมไฟเนปูตะเลยสามารถปรับหดขึ้นลงได้เจ๋งมากๆ

และจะมีคนที่ค่อยควบคุมขบวนโคมไฟอยู่ด้านบน คอยมองและออกคำสั่งต่างๆ เวลาโคมไฟต้องผ่านสิ่งกีดขวาง แถมทุกคนดูแบบเหมือนหัวหน้าแก๊ง หน้าโหดๆ ทั้งนั้น

เท่เนอะ

Aomori

ยังกะหัวหน้ายากูซ่าก็มี ฮ่าๆ

ผู้หญิงก็มีด้วยนะ

แล้วยังไม่หมดในขบวนยังมีความันมากๆ คือขบวนตีกลอง ที่ทุกคนใส่พลังเข้าไปสุดๆ เวลาตีแต่ละที่ และเป็นจังหวะพร้อมกันทุกคน อยากให้ได้เห็นมากๆ แบบตีที่พลังออกมาเต็ม

มีการตีกลองหลากหลายรูปแบบ แบบผู้หญิงก็มีแต่งตัวแบบแยงกี้ญี่ปุ่นเลย ใครอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นคงเคยเห็น

และแน่นอน แบบเด็กก็มีเช่นกัน เด็กทุกคนก็ใส่พลังกันเต็มที่ แต่อาจไม่พร้อมกันบ้าง ฮ่าๆ

โคมไฟเนปูตะจะใช้เวลาสร้างทั้งหมดประมาณ 5 เดือนในเต้นท์แบบนี้ โดยปิดอยู่ตลอดเวลาไม่ให้คนอื่นเห็นจนถึงวันงานเทศกาลเลย

เนปูตะเป็นหนึ่งในงานเทศกาลที่น่ามาชมมาก สนุก มีความเป็นญี่ปุ่น เอกลักษณ์ของตัวเอง คือตื่นเต้นมากอ่ะ เวลาดูเทศกาลนี้ ชอบๆ

แล้วก็จบกับงานเทศกาลเนปูตะ บอกเลยและย้ำอีกครั้งมีโอกาส ควรมาชมให้ได้ ช่วงต้นสิงหาที่โทโฮคุ เต็มไปด้วยงานเทศกาลสนุกๆมากมาย

JR Shin-Aomori Station

แล้วก็เตรียมเดินทางไปเมืองต่อไป เราก็ไปขึ้นรถไฟต่อที่สถานี JR Shin-Aomori แน่นอนบัตร JR East – South Hokkaido Pass ก็ยังไม่หมดยังใช้ได้ต่อไป

ภายในสถานีรถไฟมีที่รวมขายของเต็มไปหมด รวมหมดทั้งจังหวัด และแน่นอนว่าแอปเปิ้ลๆ ทั้งนั้น สนใจก็ซื้อเลย

ข้าวกล่องประจำเมืองก็เป็นหอยเชลล์ตัวใหญ่ๆใส่เต็มๆทั้งกล่อง

ของฝากจากแอปเปิ้ลมีให้เลือกหลายแบบ

และแอปเปิ้ลสด หอม หวาน กรอบ คุณภาพดีของอาโอมาริ

แล้วจบไปอีกตอนกับเมืองอาโอโมริ ฮิโรซากิ บอกเลยว่าเมืองนี้มีมาซ้ำแน่นอน ฤดูใบไม้ร่วงยังไงๆก็ต้องมาให้ได้เลยเมืองนี้ แล้วก็อยากให้ทุกคนลองเดินทางมาที่เมืองนี้คิดว่าประทับใจมากแน่ๆ

ตอนต่อไปตอนจบของการเดินทางเที่ยวโทโฮคุแล้ว เมืองต่อไป เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุ คือเซนได เมืองนี้คนไทยหลายคนคงรู้จักแน่นอน ของกินดีมากเมืองนี้!!! รอชมกัน ขอบคุณที่อ่านถึงตอนนี้น้าา

สามารถติดตามการผจญภัยในญี่ปุ่นของพวกเราต่อได้ที่

Tags Cloud

แชร์เนื้อหา
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest