[Go!Graph x JNTO] Ep.3 Gourmet Nagoya เที่ยวไปกินไปนาโกย่า
เรามาต่อจาก “ตอนที่แล้ว” นั่งรถไนท์บัสจากโอซาก้าเข้าไป เที่ยวนาโกย่า เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของญี่ปุ่น แต่เขาว่าเป็นเมืองที่ประชากรรวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว เพราะเศรษฐกิจดี และคนนาโกย่าหาเงินเก่ง แล้วออมเงินเก่งมากอีกตั้งหาก และไม่ค่อยใช้จ่ายเท่าไร จนเขาว่าธนาคารในนาโกย่าต้องออกดอกเบี้ยติดลบเลยทีเดียว เพื่อให้คนนาโกย่าเอาเงินไปใช้ ฮ่าๆ
หลายคนมา เที่ยวนาโกย่า แล้ว คงคิดว่าเมืองนี้มีอะไรเที่ยว เออ เรามายังคิดอยู่ว่ามีอะไรเที่ยว ฮ่าๆ จากการหาข้อมูลแล้วที่เที่ยวเมืองนาโกย่าถึงจะน้อย แต่ของกินตรึมมมมม!! งั้นมาเมืองนี้เราคิดแต่หาเรื่องกินเถอะ ของกินเยอะมากจริงๆ แต่ไหนๆ มาแล้วเราก็ควรเที่ยวด้วยนะ มาๆ เที่ยวนาโกย่า กันต่อ
Nagoya Castle
- Shiyakusho Station
- 500 yen
มาถึงนาโกย่าก็ต้องมาที่ปราสาทซิ บอกเลยทุกคนอย่าเบื่อปราสาทนะ เราอยากบอกว่าปราสาทนี้เป็นหนึ่งในปราสาทที่เราชอบที่สุดเลยที่เคยไปมา
ปราสาทนาโกย่าสร้างในช่วงยุคเริ่มต้นของเอโดะ สมัยตระกูลโตกุกาว่า เป็น 1 ในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่ช่วงสงครามโลก ปี 1945 ได้ถูกทิ้งระเบิดลง ทุกอย่างพังทลายหมด แล้วต่อมา ปี 1959 ก็ค่อยๆเริ่มบูรณะทีละอย่าง ตอนนี้ปราสาทเสร็จแล้ว เหลือส่วนที่เป็นจวนผู้ว่าที่กำลังดำเนินสร้างอยู่ สามารถเข้าไปชมได้แล้วส่วนหนึ่ง
เดินเข้ามาจากรถใต้ดิน ก็เห็นปราสาทนาโกย่าตั้งตระหง่านแล้ว ฟ้างามพอดี
เดินเข้ามาต่อจะเจอส่วนจวนเจ้าเมืองที่สร้างเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง สามารถเดินเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าเข้า
ภายในแต่ละห้องจะเห็นภาพวาด ลงรักปิดทอง บนบานประตู เรียกว่า Fusuma แต่ละห้องสวยมาก ห้องแรกเป็นห้อง Genkan เป็นห้องรับรองผู้จะมาขอพบเจ้าเมือง ในห้องมีรูป เสือดาว และ เสือโคร่ง ล้อมรอบห้อง เหมือนไว้ขู่คนที่จะพบให้รู้สึกเกรงเลย
ต่อมาห้อง Omote Shoin เป็นห้องที่ไว้ประชุมอย่างทางการ ประกอบด้วย 5 ห้อง จะแบ่งไปตามความสำคัญของคนแต่ละคนที่มาพบ โดยเฉพาะห้อง Jodan no Ma ที่จะประดับ และวาดได้หรูหราที่สุดมีไว้สำหรับคุยกับบุคคลสำคัญเท่านั้น
ต่อมาเราเข้ามาในตัวปราสาทนาโกย่า เสียค่าเข้า 500 เยน ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นปราสาทน่าเบื่อๆ บรรยายแบบญี่ปุ่น มีแต่รูป และของเก่า แบบที่เคยเจอ แต่ที่นี้ไม่ใช่เลย มีของจำลองเรื่องราวของปราสาทหลายอย่างมาก แบบให้เราไปเล่นกับมันได้ด้วย เช่นลองลากหินที่ไว้ก่อสร้าง แล้วจะมีวัดพลังแรงดึง
ห้องจำลองบ้านต่างๆในสมัยเอโดะ
ลองนั่งเกี๊ยวดู เออคนเมื่อก่อนตัวเล็กเนอะ
สัญลักษณ์ของปราสาทนาโกย่าเลย เรียกว่า Kinshachi เป็นสัตว์ในตำนาน ตัวเป็นปลาคารฟ์ หัวเป็นเสือ สามารถเรียกฝนได้ เชื่อว่ามีไว้สำหรับป้องกันไฟไหม้ได้
สามารถเดินขึ้นไปชั่นบนสุดได้ ไม่สูงมาก เห็นวิวรอบเมืองนาโกย่าทั้งหมด จริงๆรายละเอียดปราสาทนาโกย่ามีเยอะกว่านี้มาก ถ้าใช้เวลาอ่านคงหมดเวลาครึ่งวันเลยทีเดียว แต่เราพอแล้ว เริ่มหิวไปหาของกินดีกว่า
Atsuta Horaiken
- Temmacho Station Exit 4
- เปิด 11.00-14.00 / 16.30-20.30
- ปิดทุกวันพุธ และ อังคารที่ 2 และ 4 ของเดือน แต่ถ้าตรงวันหยุดสำคัญจะเปิด
มาถึงนาโกย่า ห้ามพลาดดดดดดดดด ข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน แบบกินแล้วจะฝันถึงไปอีกหลายวันเลยทีเดียว เรามาที่ร้านแรก หรือต้นตำรับของข้าวหน้าปลาไหลเลย ที่ Atsuta Horaiken สาขาหลักใกล้ศาลเจ้า Atsuta
ร้านจะห่างจากสถานี Temmacho ประมาณ 200 เมตร ออก Exit 4 เลี๊ยวขวาไปตามทาง เจอประตูนี้ แล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ
จนทะลุไปอีกฝั่ง จะเริ่มเห็นคนเยอะๆแล้ว ต้องข้ามสะพานลอยไป ระหว่างเดินไปจะได้กลิ่นหอมของปลาไหลย่างตลอดทาง แบบหอมมาก หอมร้อยเมตร ใครกลัวหลงก็เดินตามกลิ่นมาเรื่อยๆละกัน
คนต่อคิวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
มาถึงหน้าร้านก็จองคิวกับพนักงานเลย พนักงานจะให้บัตรคิว และบอกรอบเวลากับเรา ให้กลับมาตามเวลาตามคิวที่บอก ก็เดินเล่นไป เรามาเร็วคิวไม่ยาวมาก รอแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (บางคนบอกรอ 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว)
พอถึงเวลาก็เข้ามาด้านใน เป็นบ้านแบบญี่ปุ่นเรียวกัง เพราะแต่เดิมร้านนี้เป็นเรียวกังตั้งแต่ปี 1873 และมีข้าวหน้าปลาไหลคนที่มาพักทาน ต่อมาคนเริ่มติดใจแล้วมากินแต่ข้าวหน้าปลาไหลมากกว่าจะพัก เลยเลิกทำเรียวกัง ขายแต่ข้าวหน้าปลาไหลมันซะเลย
เมนูที่ทุกคนต้องสั่งเซตข้าวหน้าปลาไหล Hitsumabushi ราคาเบาๆ 3600 เยนเท่านั้น กระเป๋าตังค์อ่ะเบาาาาาา แต่ยอมเถอะ มันอร่อยจริงๆ
เมนูหลากหลาย แต่บอกเลยแค่เซตข้าวหน้าปลาไหลก็จุกแล้ว
ลองสั่ของทานเล่นมาก่อน กระดูกปลาไหลทอด โรยเกลือนิดหน่อยก่อนทาน อร่อยกรอบๆดี
ไม่นานพระเอกของเราก็มาแล้วววว เสิร์ฟมาเป็นเซตในชามไม้ ชามไม้นี้เป็นรูปแบบดั้งเดิมของร้านเลยเลยเรียกอาหารจานนี้ว่า “Hitsumabushi” Hitsu แปลว่า ชามไม้ Mabushi ประมาณว่าเป็นผงเล็กๆ ในที่นี้คงหมายถึงปลาไหลที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆในชาม คำนี้เลย เป็นคำที่คน Aichi เรียกข้าวหน้าปลาไหลหมดแทน Unagi Don กัน
เปิดหม้อมาหอมมากกกกกกกก ตอนเขียนอยู่นี้ก็นึกถึงกลิ่นเลย
วิธีทานข้าวหน้าปลาไหลแบบนาโกย่า จะแบ่งเป็น 4 แบบคือตอนแรกให้แบ่งข้าวเป็น 4 ส่วน
แบบที่ 1 คือทานแบบปกติ ไม่ใส่เครื่องเคืองอะไรเพิ่มเติมเลย
แบบ 1 ได้ลิ้มรสชาติของปลาไหลเต็มๆ ความเข้มข้นของซอสที่ผสมลงตัวกับข้าว กลิ่นหอมไหม้นิดๆจากปลาไหล และรสที่ปลาไหลที่เข้มข้นแต่นุ่มนวล โว้วววว บรรยายไป หิวไป
แบบที่ 2 คือใส่ต้นหอม สาหร่าย และวาซาบิ แบบนี้จะได้กลิ่นหอมๆจาก สาหร่าย และต้นหอม และรสเผ็ดนิดๆจากวาซาบิ แบบนี้รู้สึกมีรสที่หลากหลายขึ้น รู้สึกทานได้เรื่อยๆเลย
แบบที่ 3 คือชาซึเคะ เป็นแบบข้าวต้มนั้นเอง ก็ใส่เครื่องเหมือนแบบที่ 2 แต่เติมน้ำซุปเข้าไป เหมือนกินข้าวต้มปลาไหล อร่อยคล่องคอดี
และแบบสุดท้ายคือให้เราเลือกเองว่า ชอบแบบไหนที่สุดใน 3 แบบที่กินมาก็ทานแบบนั้นแหละ เราชอบแบบที่ 2 ที่สุดรู้สึกว่าเป็นรสชาติที่อร่อยที่สุดเลย แต่ก็แล้วแต่คนชอบเนอะ
มาถึงนาโกย่าห้ามพลาด และต้องทานให้ได้ จริงๆในนาโกย่ามีร้านข้าวหน้าปลาไหลเยอะมาก ราคาหลักพันก็มีนะ หรือพวกเอกิเบ็น ข้าวกล่องรถไฟก็มี ราคาจะไม่แรงเท่านี้ แต่ก็อร่อยเหมือนกัน
Atsuta Shrine
- Atsuta Station
เดินไม่ไกลจากร้านข้าวหน้าปลาไหล ศาลเจ้า Atsuta ถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น เพราะเป็นสถานที่เก็บดาบศักดิ์สิทธิ์ Kusanagi หนึ่งในสามสิ่งสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ เวลาจะสถาปนาองค์จักรพรรดิของญี่ปุ่นต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามให้ครบ เรื่องราวของดาบ Kusanagi มีเยอะมากลองไปหาอ่านดูนะ เดี๋ยวยาว ฮ่าๆ ดาบ Kusanagi ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ นะ ไม่ต้องตามหา
แถมในศาลเจ้ามีร้านขาย Kishimen ด้วย เป็นอาหารท้องถิ่นนาโกย่า คล้ายๆอุด้งแต่แป้งจะแบนๆกว่า ซุปจะเป็นที่ทำจากปลาเป็นหลัก เราเพิ่งทานปลาไหลกันมาเลย ไม่ได้ลองเลย
เรามาช่วงที่มีวางร้านแผงลอยพอดี แต่เหมือนจะยังไม่เปิดขาย
ตอนเข้ามาก็ต้องล้างมือ บ้วนปาก ศาสนาชินโตถือว่าทุกคนที่เข้ามาต้องทำร่างกายให้สะอาด
ศาสนาชินโต เหล้าเป็นสิ่งสำคัญในพิธีกรรม เลยจะมีบริษัทเหล้าต่างๆ มาบริจาคให้กับทางศาลเจ้า ศาลเจ้าก็จะเอามาตั้งเรียงๆกันไปให้คนเห็น
ศาลเจ้าเก่าแก่ ไม่เก่าแก่ดูได้จากต้นไม้เลย เพราะถ้ามีต้นไม้ใหญ่มากๆ ในศาลเจ้าแปลว่าต้องตั้งและรักษาต้นไม้นี้มานานแล้ว
ศาลเจ้า Atsuta เป็นศาลเจ้าใหญ่ จะเห็นผู้คนต่างๆ หรือยกมาเป็นบริษัทมาทำพิธีของพรกันเรื่อยๆ
แต่ละศาลเจ้าจะมีการเขียนคำอวยพรให้ผู้บริจาคด้วย เรียกว่า Goshuin แต่ละศาลเจ้าจะเขียนพู่กันและปั๊มตราประทับศาลเจ้าที่แตกต่างกันไป คนที่ขอต้องมีสมุดลายเซ็นศาลเจ้าด้วยนะ ซื้อได้ตามที่เขาขายเครื่องรางนั้นแหละ เป็นของสะสมสำหรับคนมาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็เจ๋งไปอีกแบบนะ
ด้านหน้าส่วนศาลเจ้า มีคนทำพิธีตลอดเวลา
ระหว่างที่เราอยู่ในศาลเจ้าพอดีได้เห็นการซ้อม Kyudo หรือการยิงธนูแบบญี่ปุ่น ศาสนาชินโตถือว่าธนูเป็นสิ่งไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทำลายสิ่งที่มารบกวนขัดขวางความโชคดี แปลว่าเราคงโชคดีที่ได้มาเห็น ฮ่าๆ
หลังจากเดินออกจากด้านหน้าศาลเจ้า ฝั่งตรงข้ามมีร้านโมจิอยู่ด้วย
บรรยากาศญี่ปุ่นเก่าๆ
มีโมจิหลายแบบ
ที่ดังสุดของร้านคือโมจิไส้ถั่วแดง ที่ชื่อโมจิชำระล้าง ขายหน้าศาลเจ้า เลยมีโมจิสำหรับกินแล้วชำระล้างก่อนเข้าศาลเจ้าซักเลย
โมจิอร่อยมาก ทำใหม่ๆ เหนียวนุ่มหนึบ ราคาไม่แพงด้วย 100 กว่าเยนเองมั้ง
Nagoya City Science Museum
- Fushimi Station
- Museum & Planetarium 800 yen
- Museum only 400 yen
- Teamlab 800 yen มีเฉพาะช่วง ตอนนี้ปิดไปแล้ว แต่มีจัดที่อื่นทั่วญี่ปุ่น ลองไปดูที่ https://www.team-lab.net/e/?type=nowopen&country=
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เขาว่าดีที่สุดที่หนึ่งในญี่ปุ่น แต่เรามาที่นี้ครั้งนี้เพราะตั้งใจจะมา Teamlab เป็นทีมงานที่จัดนิทรรศการเกี่ยวกับแสงสีระดับโลกของญี่ปุ่น ที่มีผลงานจัดไปทั่วโลก คือบอกเลยว่าเจ๋งโคด
เข้ามาซื้อตั๋วราคา 800 เยนรวมค่าเข้า Museum ด้วยแต่ไม่รวม Planetarium ที่เป็นท้องฟ้าจำลองอีก 400 เยน เวลาเราน้อยเลยดูแต่ Teamlab
ถึงห้องแรก ห้องดอกไม้ มีดอกไม้กระจายอยู่เต็มห้อง พอไปแตะกลีบจะระเบิดออกมาเจอ ประกอบกับเสียง ที่ทำให้เหมือนหลุดในความฝัน ชอบมากๆ ห้องนี้ ถ่ายรูปออกมาฟุ้งๆ แปลกดี
ต่อมา ห้องคลื่น นอนฟังเสียงเพลงพร้อมคลื่นที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา ภาพจะเป็นเหมือนภาพวาด เหมือนเราลอยอยู่ในภาพสีน้ำมัน เออ แปลกดี เขาทำได้ดีมาก
ห้องต่อมาชอบมาก ห้องนี้เด็กเยอะสุด คือจะกระดาษให้วางรูป บ้าน รถ เครื่องบิน จานบิน แล้วสามารถสแกน แล้วมันจะโผล่ในหน้าจอ แถมทุกอย่างมีส่วนสำคัญ เมืองจะมีสัตว์ประหลาดมาถล่ม ก็ต้องส่งเครื่องบินรบไปสู้ เด็กทุกคนก็จะไปกดหน้าจอ ชอบมาก
อีกอันที่ชอบมาก คือเกมกระโดดข้ามบ่อน้ำ เด็กทุกคนแบบตั้งใจเว่อร์ ชอบๆ ความเป็นเด็ก
ดูๆ สนุกขนาดไหน สนุกจังโว๊ยยยย
มาถึงห้องสุดท้ายแล้ว เหมือนห้องน้อย แต่กว่าเราจะเดินไปแต่ละห้องใช้เวลานานมาก ฮ่าๆ แบบดีเทลเยอะ ถ่ายรูปได้ไม่จบเลย ห้องนี้สวยมากกกกกก เจ๋งมากกกกก คือจะให้คนมาชมบังคมจากมือถือได้ว่าจะให้สีออกมาเป็นยังไง พอหลายๆคนกด ก็จะเจอแสงหลายๆลักษณะ คือมันอยู่ดีได้เรื่อยๆ ไม่ซ้ำกันเลย ดีมาก
นิทรรศการ Teamlab มีโอกาสควรมาดู มันดีจริงๆ ในไทยก็เคยมีมาจัดรอบหนึ่งแล้วด้วยนะ
มาต่อส่วนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ชั้น 2 จะเป็นคาเฟ่
ห้องส่วนที่เป็นจัดแสดงของ JAXA เหมือน NASA ขอญี่ปุ่นนั้นแหละ คือเอาอุปกรณ์จริงๆ มาโชว์ให้ดูกัน เจ๋งๆหลายอย่าง หรืออย่างชิ้นส่วนของกระสวยอวกาศที่เก็บกู้ขึ้นมาจากทะเล เจ๋งๆ เป็นที่ต้องมีเวลามากๆในการชมจริงๆ
ห้องสร้างพายุ ชอบมากกกกกกก คือเจ๋งอ่ะ ได้แบบเห็นของจริงใกล้ๆเลย ว่าพายุเกินขึ้นมายังไง
ห้องแสดงระบบแรงต่างๆที่เกิดจากน้ำ ห้องนี้ของเล่นเยอะมาก เหมือนยกเรื่องทุกอย่างที่เราเคยเรียนแต่ในหนังสือออกมาให้เห็นลองเล่นทุกอย่างจริงๆ
สรุปถ้ามีเวลามากๆ หรือมีเด็กมาด้วย น่าพามาที่นี้มากๆ รู้สึกดีใจที่เด็กญี่ปุ่นมีพิพธภัณฑ์แบบนี้ให้เล่น การเรียนรู้มันจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปเลย
Hara Donuts
สาระกันมาเยอะอีกแล้ววว เริ่มหิว เรามาที่ร้านโดนัทเจ้าดังของนาโกย่า ที่ทำให้กระแสโดนัทฟีเว่อร์ในญี่ปุ่นเลยกับร้าน Hara Donuts เดินถัดจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แค่ 2 สี่แยก ก็เจอแล้ว
เป็นร้านโดนัทเล็กๆ ที่แป้งโดนัทผสมกับเต้าหู้เข้าไปด้วย เลยทำให้โดนัทที่นี้มีรสชาติที่นุ่มนวลแตกต่างจากที่อื่น เริ่มควรชิมรสธรรมดาก่อน รสนุ่มนวล ไม่หวานมาก แล้วลองด้วยรสอื่นๆ ตาม รสดาร์คช๊อคก็อร่อย มีอีกรสก็เลม่อนที่อยากจะขอแนะนำ วัตถุดิบทุกอย่างใช้จากวัตถุดิบธรรมชาติ เลยเป็นโดนัทที่กินแล้วสุขภาพดี แนะนำให้มากิน
Yamamotoya
มาถึงอาหารท้องถิ่นอีกอย่างของนาโกย่า คือ มิโซะแดง เรียกว่า Aka Miso เป็นมิโซะเฉพาะถิ่นของไอจิ รสชาติจะเข้มข้นมากกว่ามิโซะทั่วไปที่เราเคยกินกัน มีทั้งคนชอบและไม่ชอบเลยทีเดียว แต่เราก็ชอบอยู่นะ รสเข้มข้นดี
เรามาที่ร้าน Yamamotoya ร้านดังที่ขาย Miso-Nikomi Udon มาเป็นร้อยปีแล้ว และขายแบบนี้รสดั้งเดิมมาตลอด
มีเมนูอังกฤษให้ด้วย เออภาษาไทยก็มีนะ แปลว่าคนไทยมากินกันเยอะ อุด้งจะมีอยู่ 2 แบบคือใส่ไก่ กับ ใส่ไก่และไข่ จบ ง่ายดี
อาหารอย่างอื่นก็มีเยอะแยะ แนะนำพวกอาหารเสียบไม้ตุ๋นมิโซะแดง
ลองสั่งเนื้อตุ๋นมิโซะมา 1 ไม้ อร่อยมาก รสเข้มข้นเนื้อละลายในปากเลย
เวลาเสริฟมาเป็นหม้อดินเผา เดือดปุดๆมาเลย ดูน่ากลัวมาก ฮ่าๆ จะมีฝาหม้อวางมาด้วย เวลาทานก็ใช้ฝาหม้อนั้นแหละ เป็นชามสำหรับตักเส้นมาพักไว้ เพราะถ้าคีบจากหม้อไฟแล้วดูดใส่ปากเลย ลวกปากแน่นอน!! ร้อนมาก
ดูความเดือดของมัน หม้อไฟนรก
ค่อยๆคีบแบ่งมาไว้บนฝาชาม
ร้อนๆเลย เส้นเหนียวนุ่ม รสชาติของซุปที่เข้มข้นจากมิโซะแดง ไก่ก็เนื้อนุ่มมาก ถ้าสั่งไข่มาด้วยนะ เจาะไข่แดงแล้วผสมกับซุปมิโซะ มันเข้ากันมากจริงๆ อร่อย สำหรับคนที่ชอบรสชาติเข้มข้นน่าจะชอบจานนี้เลย
ใครอยากความเผ็ด เพิ่มพริกเข้าไปซืมาเป็นกระบอกไม้ไผ่เลย
Osu Kannon Temple
- Osu Kannon Station
เดินไม่ไกลเลยจากร้านอุด้งมิโซะ เป็นวัดตั้งอยู่กลางเมืองนาโกย่า เดิมวัดอยู่กิฟุ แต่ต่อมาย้ายทั้งวัดมาที่นี้โดย โตตุกาวะ อิเอยาสึ ในปี 1612 เพราะวัดนี้โดนปัญหาเรื่องน้ำท่วมหลายครั้ง และในปัจจุบันก็ซ่อมแซ่มต่อเติมจนเหมือนอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ภายในวัดมีพระพุทธรูปไม้ที่แกะสลักโดย Kobo Daishi หรืออีกชื่อคือ Kukai พระชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งนิกาย Shingon เป็นหนึ่งในนิกายที่มีทั่วญี่ปุ่นคนไทยคงรู้จักแต่ Zen กับ Shinto(และชินโตไม่ใช่พุทธด้วย เป็นศาสนาชินโตเลย) คนญี่ปุ่นจะนับถือ Kukai เปรียบเหมือนหลวงปูทวดบ้านเรา คือจะเห็นรูปหล่อของท่านทุกวัดในนิกาย Shingon เลย
ในวัดนี้ยังมีพวกคัมภร์โบราณ สมบัติแห่งชาติ แน่นอนเก็บไว้อย่างดี ไม่ให้ดูนะ
ภายในมีพระพุทธรูปอยู่
ช่วงที่เราไปอยู่ดีๆหิมะตกหนักในนาโกย่า ปกติไม่หนักขนาดนี้เลย
Osu Shoping Arcade
ติดกับตัววัดมี Osu Shoping Arcade เป็นถนนชายช๊อปปิ้งที่ใหญ่สุดในนาโกย่ามีร้านค้ามากกว่า 400 ร้านตลอดทาง และของกินก็เยอะมากเช่นกัน
Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology
- Kamejima Station Exit 2
- 500 Yen
เมืองนาโกย่า เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น เพราะมีโรงงานหลายแห่ง และเป็นต้นกำเนิดของโตโยต้าอีกด้วย ที่เรามาเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงกระบวนการผลิตรถยนต์และธุรกิจสิ่งทอแต่เดิมโตโยต้าผลิตสิ่งทอเป็นหลัก แล้วต่อมาพัฒนาเครื่องจักรสิ่งทอสู่เครื่องยนต์รถยนต์จนเป็นโตโยต้าในปัจจุบัน แนะนำมากๆ สำหรับคนที่ชอบรถยนต์ หรือระบบเครื่องจักรสายวิศวกรรม
ด้านหน้ามีโชว์เครื่องทอผ้าขนาดใหญ่อยู่ บริษัท โตโยต้า ก่อตั้งโดยคุณ Sakichi Toyoda เป็นนักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่นที่เป็นคนคิดค้นเครื่องจักรทอผ้าแบบญี่ปุ่นคนแรก แล้วต่อมาเริ่มพัฒนาเครื่องจักรสำหรับรถยนต์
เข้ามาส่วนแรกจะเป็นโรงงานทอผ้า มีเครื่องจักรที่ทำงานได้จริงๆทุกตัว สามารถกดปุ่มแล้วเครื่องจะแสดงการทำงานให้ดู และหลายๆเครื่องจะมีวิทยากรอธิบายถึงระบบต่างๆ แถมที่นี้ไม่ต้องกังวลว่ามีแต่คนพูดญี่ปุ่น ที่นี้มีล่ามเป็นอังกฤษให้ด้วย และมีแผ่นพับเป็นภาษาไทยที่อธิบายคราวๆ
เข้าสู่ยุคเริ่มต้นรถยนต์ เริ่มจากขั้นตอนหล่อต้นแบบ
ทดลองติดเครื่องยนต์กับจักรยาน
จำลองโรงผลิตต้นแบบรถยนต์คันแรกของโตโยต้า
โฆษณาต่างๆของโตโยต้า
รถกะบะสีเขียวรุ่น G1 กะบะรุ่นแรกของโตโยต้า สวยมากกกกก
โชว์รถโตโยต้ารุ่นต่างๆ ทั้งตัวต้นแบบ และตัวที่พัฒนา
ส่วนแสดงเครื่องจักรสำหรับการผลิต เหมือนกับตรงโรงงานทอผ้า ทุกเครื่องจักรสามารกดปุ่ม เพื่อให้เห็นการทำงานได้ และมีวิทยากรอธิบายการทำงานด้วย
เครื่องยนต์ตั้งแต่รุ่นแรกถึงปัจจุบัน
แสดงการประกอบรถด้วยหุ่นยนต์
และสุดท้ายของเล่นที่ไว้เรียนรู้แรงต่างๆจากเครื่องจักร พิพิธภัณฑ์ใช้เวลาเยอะมาก ถ้าตั้งใจเดินศึกษา แต่คุ้มค่าที่จะมาสำหรับคนที่ชอบรถและสายวิศวกรรม
สนใจอ่านเพิ่มเติมที่ http://www.tcmit.org/english/
Nabana no sato Winter Illumination
- ค่าเข้า 2300 เยน และจะได้คูปองราคา 1000 เยนสำหรับทานอาหารในบริเวณสวน
- Winter Illumination จัดช่วง 15 ตุลาคม 2016 – 7 พฤษภาคม 2017
- **มีตั๋วพิเศษ รวมค่ารถไฟและรถบัส และค่าเข้า ได้คูปอง 1000 เยนเหมือนเดิม ของสาย Kintetsu ในราคา 3170 เยน ซื้อได้จากที่สถานีเลย
อันนี้ไม่อยู่ในนาโกย่า ต้องนั่งรถออกไปที่จังหวัด Mie แต่เดินทางจากนาโกย่าได้ง่าย
เดินทางโดยทาง มานั่งรถไฟสาย Kintetsu จาก Nagoya Station ไปลง Nagashima Station แล้วต่อรถบัสไปลงที่ Nabana no sato
ซื้อบัตรแล้วได้ตั๋วมาครบทั้งรถไฟ รถบัส ตั๋วเข้างาน
นั่งรถไฟประมาณครึ่งชม. ถึงสถานี Nagashima รอรถบัสหน้าสถานี
มาถึงไม่ต้องพูดไรมา อลังการงานสร้างดาวล้านดวง เกินล้านจริงๆ
ไฟมีประดับทั่วทุกที่
มีขึ้นไปจุดชมวิวด้านบนได้ เสียอีก 500 เยน
วิวจากด้านบน
แล้วก็มาดู 1 ในไฮไลท์ของที่นี้ สายน้ำแสงสี สวยมากกกก แสงสีจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่ตรงนี้เพลิน แต่อากาศก็หนาวมากเช่นกัน ฮ่าๆ
แล้วที่นี้คือไฮไลท์อันดับ 1 ของที่นี้ อุโมงค์ไฟที่ประดับไฟมากกว่าล้านดวง ยาวเกือบ 500 เมตร ยาวมาก อลังการมาก บรรยายไม่ถูก ดูภาพเถอะ
ตอนมามาถึงจุดประดับไฟบนเขา นี้ก็อลังการ ไฟขยับได้เป็นฉากต่างๆ ป้า ทะเลทราย แอฟริกา เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ที่นี้คนเขามากันเป็นคู่ๆเยอะมาก
จุดชมไฟก็มีอีกเยอะ เช่น บ่อน้ำกระจก ที่จะเห็นเงาสะท้อนทุกอย่าง
มาถึงเวลากินซักที เราทุกคนจะได้คูปองทานอาหารราคา 1000 เยน ได้มาแล้วก็ใช้มันซะ ในนี้มีร้านอาหารมากกว่า 10 ร้าน มีหลายชาติ ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศสแล้วแต่จะเลือกเลย เราเลือกทงคัตซึบ้าง มาญี่ปุ่นครั้งนี้ยังไม่ได้กินเลย ราคา ประมาณ 1200 เยน เพิ่มตังอีก 200 เยน ก็ได้แล้ว มาเป็นเซตใหญ่ๆ กระหล่ำปลี ข้าวเติมไม่อั้น กินไปแค่ครึ่งเดียวก็เริ่มจุกแล้ว เพราะเยอะมากกกก
ที่ Nabana no Sato เป็นมีเวลาควรมา เดินทางไม่ยาก และคุ้มค่ามาก แค่มาชมไฟที่นี้ก็ฟินสุดๆแล้ว สมที่ได้ว่าเป็นที่ชมไฟอันดับ 1 ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่มาเป็นคู่ก็จะดีนะ งั้นจะอิจฉาเขา มาเป็นคู่ๆทั้งนั้น 5555
Oasis 21
- Sakae Staion
Oasis 21 เป็นสรรพสินค้าศูนย์กลางของย่าน Sakae ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์และมักเป็นที่จะอีเว้นท์เสมอ
ภายในมีร้านอาหาร และร้านขายของอยู่ มี 2 ชั้นเท่านั้น แต่ด้านใต้ดินสามารถเชื่อมต่อไปที่ต่างๆได้ใน Sakae
ที่น่าสนใจเลย คือมี Jump Shop ที่นี้ แล้วก็พวกร้านขายยา
Nagoya TV Tower
- 700 Yen
เรามุดใต้ดิน เป็นโผล่ที่ Nagoya TV Tower เรามาช่วงหิมะตกหนักพอดี เลยได้บรรยากาศที่แปลกตาไปอีกแบบ สวยดีเหมือนกัน แต่หนาวมาก
มา เที่ยวนาโกย่า ต้องมาที่ Nagoya TV Tower สร้างตั้งแต่ปี 1954 ถือว่าเป็น TV Tower ลักษณะแบบนี้แห่งแรกของญี่ปุ่น แล้วเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นก็เริ่มมี TV Tower แบบนี้ตามมา สูงทั้งหมด 180 เมตร ส่วนที่ดูวิว สูง 100 เมตรพอดี
ขึ้นไปด้านบนเห็นมุม Oasis จากด้านบนด้วย
ช่วงที่เราไปมีแสดง illumination พอดี ยิงแสงเป็นรูปดวงดาวต่างๆ เห็นวิวข้างหลังเป็นเมืองนาโกย่า
การแสดงมีไม่นานมาก ดูได้บรรยากาศหนาวๆ พอดี
Yamachan
ยังไม่จบเรื่องกิน มาถึงนาโกย่าแล้ว ต้องได้กินไก่ทอดยามะจัง ไก่ทอดเหมือนเป็นอาหารประจำท้องถิ่นไปแล้ว คนนาโกย่านิยมสังสรรค์ดื่มเบียร์พร้อมกินไก่ทอดกัน ช่วงดึกๆ ร้านไก่ทอดมักจะเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศทุกร้านเลย
ยามะจัง หาร้านไม่ยาก มีอยู่ทั่วนาโกย่า เข้ามาขอเมนูมีภาษาไทยด้วย!
จานแรกเบาๆ ยากิโซบะกะทะร้อน สั่งมาทานรองท้องกันก่อน
ตามด้วยข้าวปั้นไส้เทมปุระกุ้ง เขาว่ามีเฉพาะนาโกย่าเท่านั้นด้วยที่กินแบบนี้
อันนี้เด็ดมาก! ใบเหลียงผัดไข่! ไม่ใช่แต่คล้ายอยู่ 55 เป็นผักโขมผัดไข่ อร่อยๆ
มาถึงพระเอกของเรา ไก่ทอดยามะจัง กองมาเลย
ไม่ต้องรอช้ากินด้วยมือนี่แหละ อร่อยที่สุด
เวลาทานก็หักไก่ครึ่งหนึ่ง แล้วดูดเลยเนื้อออกจากกระดูกเลย แล้วค่อยๆเล็มเนื้อที่เหลือ ทานตามรูปอธิบายเลย กินพร้อมเบียร์นะ อย่างฟิน แป๊ปๆหมดไม่รู้ตัว
มีสลัดมันฝรั่งตามมาอีก กินให้พอ
และจบด้วยเนื้อตุ๋นมิโซะแดง อร่อยนุ่มละลายในปากเลย ร้านยามะจัง มาถึงนาโกย่าแล้วก็ห้ามพลาดนะ เป็นร้านขึ้นชื่อของเมืองเลยทีเดียว
จบแล้ว ทั้ง เที่ยวนาโกย่า ทั้งกิน ในเมืองนาโกย่า ตอนแรกคิดว่าเมืองนี้ไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวเท่าไร แต่ไปๆมาๆก็มีมากกว่าที่คิด แล้วยิ่งของกินด้วย มีเต็มเมือง!! จริงมีร้านอร่อยๆอีกเยอะมาก แต่เราก็ไม่ไหวแล้ว ท้องแน่นตึงไปหมด
และขอจบทริปตะลุยกิน 3 เมืองใหญ่ของญี่ปุ่นด้วยเพียงเท่านี้ แต่อยากบอกว่าญี่ปุ่นนี้เรายังมีรีวิวอีกเยอะมาก เยอะแบบ รีวิวได้ทั้งปี ไว้มาอ่านกันต่อนะ
ขอขอบคุณ แล้วเจอกันใหม่